Friday, March 6, 2009

"ชินภัทร"เดินหน้าปรับโครงสร้างศธ.

ยกฐานะก.ค.ศ.,กศน.,สช.เป็นกรมให้คำมั่นไม่คิดแยกเป็นองค์กรหลัก

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โดยมีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กศน. เป็นประธาน เพื่อยกฐานะทั้ง 3 หน่วยงานเป็นกรมภายใต้ สป.ศธ.เนื่องจากการปรับโครงสร้าง ศธ.ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ได้ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของบุคลากรระดับผู้บริหารอย่างมาก

ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า เรื่องความก้าวหน้าของบุคลากรเป็นปัญหายืดเยื้อมานาน โดยเฉพาะสำนักงาน ก.ค.ศ. ซึ่งเดิมเป็นสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) มีฐานะเป็นกรม มีหน่วยงานภายใน 7 กอง มีผู้บริหารตำแหน่งเลขาธิการ 1 คน รองเลขาธิการ 3 คน ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน และผู้อำนวยการกอง 7 คน ซึ่งบุคลากรจะสามารถเติบโตและเลื่อนไหลเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ได้ตามลำดับ แต่หลังจากลดฐานะเป็นสำนักแล้ว ผู้บริหารก็เหลือเพียงเลขาธิการ 1 คน รองเลขาธิการ 2 คน ผู้เชี่ยวชาญ 4 คน โดยไม่มีตำแหน่งระดับกองหรือตำแหน่งบริหารด้านอื่น ๆ ทำให้เกิดช่องว่างของความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ ซึ่งขณะนี้ ก.ค.ศ.เปรียบเหมือนที่ดินตาบอดที่ไม่มีทางเข้าทางออก ทำให้ผู้อยู่อาศัยลำบาก หรือ บันไดเข้าสู่ตำแหน่งขาดหายไปช่วงหนึ่งผู้ปฏิบัติงานก็ไม่เห็นอนาคตของตัวเอง ซึ่งการ จะเติบโตเป็นรองเลขาธิการได้จะต้องไปรับหน้าที่บริหารจากหน่วยงานอื่นก่อน แล้วจึงกลับมาเป็นผู้บริหาร ก.ค.ศ. ดังนั้นจุดนี้ต้องแก้ไข เพื่อไม่ให้ข้าราชการขาดขวัญและกำลังใจไปมากกว่านี้

“ขอย้ำว่าทั้ง 3 หน่วยงานจะไม่แยกเป็นแท่งแน่นอน ซึ่งคณะทำงานจะรีบดำเนินการ และชี้แจงต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ให้เข้าใจว่า การยกฐานะครั้งนี้ไม่ได้ขัดกับหลักของการกระจายอำนาจ ตามที่ ก.พ.ร.เคยตั้งข้อสังเกตไว้ แต่จะสนับสนุนการกระจายอำนาจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนข้อสังเกตเรื่องงบประมาณนั้น ความจริงแล้วการเพิ่มตำแหน่งผู้อำนวยการกอง อีก 6-7 ตำแหน่ง ใช้งบฯไม่มาก ถ้าเทียบกับขวัญกำลังใจของบุคลากรที่จะได้รับ” ดร.ชินภัทรกล่าวและว่า ทั้งนี้ในการยกฐานะจากสำนักเป็นกรมคงต้องแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ส่วนจะต้องปรับปรุงกฎหมายอื่นอีกหรือไม่คณะทำงานจะเร่งดำเนินการต่อไป.

No comments: