Friday, August 27, 2010

"ชินวรณ์"ระดมสมองแก้ปัญหาหนี้สินครู

หวังหลักหักหนี้แต่ละเดือนมีเงินเหลือ25%

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้ประชุมหารือร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครูและธนาคารออมสิน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากการหารือได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันบูรณาการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตครูอย่างยั่งยืนและแก้ไขปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบต่อไป โดยทางธนาคารออมสินยินดีที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ในโครงการพัฒนาชีวิตครู เป็น MLR-0.50 บาท และ สกสค.จะลดเงินในส่วนที่ได้จากธนาคารออมสิน ร้อยละ 1 คืนให้ครูด้วย

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันหนี้สินของครูมาจากหลายแหล่งใหญ่ คือ 1.หนี้สินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มีครูเป็นหนี้ 300,000 ราย มีหนี้ประมาณ 700,000 ล้านบาท 2.หนี้จากโครงการพัฒนาชีวิตครู 50,000 ราย มูลหนี้ประมาณ 90,000 ล้านบาท และ 3.หนี้จากโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนสมาชิกครู (ชพค.) 105,000 ราย จำนวน 200,000 ล้าน บาท ดังนั้นเพื่อให้เกิดการบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทุกฝ่ายเห็นว่าจะต้องนำแต่ละโครงการมาเชื่อมโยงให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันเงินกู้ และการร่วมมือกันทำโครงการพัฒนาชีวิตครู เพื่อนำไปสู่การลดความซ้ำซ้อนของหนี้ที่ครูกู้

“สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยังอยู่ในระบบราชการและมีหนี้สินในภาวะวิกฤติกว่า 20,000 รายนั้น จะมอบให้ก.ค.ศ.เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบเยียวยาครูต่อไป นอกจากนี้ผมมีแนวคิดว่าต่อไปเมื่อหักเงินเดือนครูจ่ายหนี้สินแล้วครูแต่ละคนควรต้องมีเงินเหลือประมาณ 25% ของเงินเดือนด้วย ไม่ใช่เหลือ 10% อย่างที่บางคนเป็นอยู่ในปัจจุบัน” รมว.ศธ. กล่าว.

ยูเนสโกชื่นชมไทยจัดเรียนฟรี15ปี

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 ส.ค. ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมสมัชชาการศึกษานานาชาติแห่งประเทศไทย (International vocation education exhibition) ครั้งที่ 5 เนื่องในวันครูโลก ภายใต้หัวข้อ “การศึกษาเพื่อโลกอาชีพ” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งว่า การศึกษาเพื่อโลกอาชีพเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลที่มีนโยบายการบริการการศึกษาเพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาตลอดชีวิต เพราะการศึกษามีส่วนสำคัญในชีวิตของมนุษย์ เพื่อสามารถนำความรู้ไปหารายได้และมีส่วนส่งเสริมสังคมโดยรวม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทย ต้องเตรียมพร้อมในเรื่องการค้า เศรษฐกิจ และร่วมอยู่ในเศรษฐกิจอาเซียนที่จะหลอมรวมอาเซียนเป็นหนึ่งเดียว โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังปฏิรูปการศึกษารอบสอง เพื่อให้ระบบการศึกษามีคุณภาพตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษา ซึ่งเป็นงานที่หนักหน่วงและจะสำเร็จไม่ได้หากไม่มีครู ฉะนั้นการสร้างแรงจูงใจและเครือข่ายจะสามารถเพิ่มศักยภาพครูได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกวาง โจคิม ผอ. สำนักงานยูเนสโก ประจำกรุงเทพฯ ได้อ่านสารจากนางไอรินา โบโกวา ผอ.ใหญ่ยูเนสโก ความตอนหนึ่งว่า ดำริของประเทศไทยในการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนม พรรษา 78 พรรษาในวันครูโลก แสดงถึงความสำคัญ ที่ไทยให้แก่การศึกษา ยูเนสโกสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ทูตแห่งความปรารถนาดีของ ยูเนสโกในการพัฒนาเด็ก ๆ ของชนกลุ่มน้อยและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ทรงมีข้อผูกพันมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการศึกษาโดยเฉพาะแก่กลุ่มที่ด้อยโอกาสและอ่อนแอ ครูเป็นทรัพยากรทางการศึกษาที่สำคัญที่สุดในทุกประเทศ ยูเนสโกจะเฉลิมฉลองวันครูโลกในวันที่ 5 ต.ค. โดยหัวข้อคือ “การฟื้นตัวเริ่มที่ครู” ซึ่งมีนัยว่า ครูเป็นกุญแจในการฟื้นกลับคืนในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความหวังต่ออนาคต ต่อโครงสร้างและความเป็นปกติสุข จึงขอเรียกร้องรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ลงทุนและดำเนินนโยบายแห่งชาติเรื่องการฝึกอบรมครู การบรรจุและการเสริมแรงจูงใจเพื่อเติมเต็มให้ได้รับการยอมรับในวิชาชีพ

“ขอชื่นชมนโยบายของรัฐบาลไทยในการให้การศึกษาฟรี 15 ปี ซึ่งเป็นความตั้งมั่นของรัฐบาลไทยท่ามกลางภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยยอมรับว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานของการพัฒนาต้นทุนมนุษย์ และที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ที่จะเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมคุณวุฒิและมาตรฐานของการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรม ขณะนี้โลกเรากำลังขาดแคลนครูอย่างมาก ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในแอฟริกาบริเวณ ใต้ทะเลทรายซาฮารา จึงต้องส่งเสริมความร่วมมือเรื่องการฝึกอบรมครูไปช่วยประเทศกำลังพัฒนาเหล่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชนต่อไป” นายกวางกล่าว.

“นิพิฏฐ์”จวก ก.พ.มุ่งเน้นวัตถุเมินวัฒนธรรม

รมว.วัฒนธรรม สับ มติ กพร.เมินงานวัฒนธรรมชาติชี้เอาใจแต่งานด้านสาธารณูปโภค เดินหน้าหาทางอุ้มพนักงานราชการกรมศิลป์หลังถูกปลดออก 107 อัตรา...

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ได้มีหนังสือให้ กรมศิลปากร ทราบว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(กพร.) มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ้างพนักงานราชการซ้ำซ้อนกับลูกจ้าง ประจำ โดยให้กรมศิลปากรปรับลดพนักงานราชการลง ว่า ตนเห็นว่าการปลดพนักงานราชการกรมศิลปากรถึง 107 อัตรา ก.พ.และ กพร.ไม่เห็นความสำคัญของคนทำงานวัฒนธรรม และไม่มีความรู้ว่า กรมศิลปากรจะต้องทำงานด้านใดบ้าง โดยเฉพาะการรักษาวัฒนธรรมชั้นสูงของประเทศ พอวัฒนธรรมชั้นสูงเหล่านี้สูญหายทุกฝ่ายก็มาโทษกรมศิลปากรว่า ไม่รักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติไว้ไม่ได้ แต่ ก.พ.และ กพร.กลับไปให้ความสำคัญกับหน่วยงานที่เน้นสร้างสาธารณูปโภค มากกว่า

รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะลดตำแหน่งพนักงานราชการของกรมศิลปากร หรือ หน่วยงานอื่นใดใน วธ.เพราะจากนี้ไปงานของกรมศิลปากร จะมีมากขึ้น จำเป็นจะต้องใช้บุคลากรเป็นจำนวนมาก อาทิ การพลิกฟื้นชีวิตพิพิธภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ตนจะต้องหารือกับทางก.พ.และทางกพร.ว่า จะดำเนินการในส่วนใดได้บ้าง เนื่องจากบุคลากรที่จะให้กรมศิลปากรลดลงนั้น กระทบต่อการทำงานโดยภาพรวมของ วธ.ทั้งหมด และถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะตนทราบว่า จะมีการไม่ต่ออายุพนักงานราชการหรือจะปรับเป็นลูกจ้าง ในจำนวน 107 อัตราในเดือนกันยายนนี้ ที่ไม่เป็นธรรมกับพนักงานราชการ

“ผมจะต้องหารือกับกรมศิลปากรในเรื่องดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ เรายังเหลือเวลาอีก 1 เดือนที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยผมคิดว่า พนักงานราชการเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อยู่ๆ จะไปปลดเขาออกไป เขาจะรู้สึกอย่างไร แล้วเขาจะหางานที่ไหนได้ทัน ที่สำคัญตอนนี้บุคลากรของวธ.ก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว จะเกิดผลกระทบต่อระบบการทำงานโดยภาพรวมของกระทรวงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผมขอบอกว่า เรื่องใหญ่อย่างนี้ทำไมกรมศิลปากร ไม่มาหารือกับผมปล่อยไว้อย่างนี้ได้อย่างไร” นายนิพิฏฐ์ กล่าว

สคอ.แจ้งจับร้านยาจำหน่าย "เบียร์

ระบุละเมิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงจำเป็นต้องดำเนินคดี ย้ำโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท คุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ...

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สคอ.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวห้องให้คำปรึกษาทางกฎหมาย โดย นพ.ศิริวัฒน์กล่าวว่า สคอ.เห็นถึงความสำคัญในการประชาสัมพันธ์กฎหมาย และการให้คำปรึกษากฎหมายเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงจัดให้มีห้องดังกล่าวขึ้นมา โดยจะมีนิติกรคอยให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะ เพื่อให้ผู้ที่กระทำความผิดได้มีโอกาสแก้ไข และที่สำคัญจะช่วยลดจำนวนคดีอาญาที่จะต้องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลลงด้วย

นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า จากการดำเนินการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ยังพบว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ห้ามจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งล่าสุดจากการดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม ทาง สคอ.ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับร้านขายยาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ โดยพบว่ามีการนำเบียร์เข้าไปขายในร้านด้วย จึงจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี เพราะถือว่ามีความผิดตามมาตราที่ 27 และ 30 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม การแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้ แม้เป็นการดำเนินการในสาขาที่ตรวจพบในกรุงเทพฯเพียง 1 แห่งเท่านั้น แต่ก็ขอชื่นชมกับร้านดังกล่าว เพราะหลังจากที่ทาง สคอ. ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีไปแล้วนั้น ก็พบว่าในสาขาอื่นๆก็ไม่มีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปวางขายแล้ว.

เผยเยาวชนโอลิมปิกเมินทุนการศึกษารัฐบาล

รมช.ศึกษาธิการเผย เยาวชนโอลิมปิกครึ่งหนึ่งสนใจรับทุนการศึกษาจากเอกชนมากกว่ารัฐบาล เหตุไม่มีข้อผูกมัด มีหลักประกันการทำงาน และได้รับเงินเดือนสูงกว่าเด็กทุนรัฐบาลหลายเท่า ...

นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า ที่ประชุมได้พิจารณาปรับแผนการผลิตและพัฒนาคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในด้านต่างๆ เช่น อัตราเงินทุนการศึกษาของนักเรียนทุนในประเทศ ที่ยังไม่มีความสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การขยายศูนย์โครงการเพื่อกระจายโอกาสการรับทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่อยู่ในภูมิภาค การขยายรูปแบบการเรียนการสอนสำหรับพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษให้ มากขึ้น การเพิ่มจำนวนทุนให้นักเรียนที่มีศักยภาพได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ

รมช.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ สสวท. สำนักงบประมาณ กระทรวงวิทยาศาสตร์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ไปศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนสนใจมาเรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ที่ผ่านมาพบว่านักเรียนให้ความสนใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์น้อยมาก จากสถิตินักเรียนที่ไปแข่งโอลิมปิกวิชาการปีละ 23 คน ซึ่งทั้งหมดจะได้รับทุนจนจบปริญญาเอก แต่กลับพบว่านักเรียน 50% ไม่ขอรับทุนของรัฐบาล แต่ไปรับทุนของเอกชนแทนเนื่องจากไม่มีข้อผูกมัด ทั้งรับประกันการมีงานทำ ที่สำคัญได้เงินเดือนสูงกว่าเด็กที่รับทุนรัฐบาลหลายเท่า.

พม.เผยแม่วัยใส ที่มีการศึกษา มุ่งทำแท้งมากสุด

"อิสสระ" เผยผลสำรวจ พม.ทำอึ้งระบุ “แม่วัยเยาว์” เกือบ 20% คิดฆ่าตัวตาย ขณะที่เด็กปวช.ท้องไม่พร้อมแล้วคิดมุ่งทำแท้ง โดยนิยมเลือกกินยาขับมากที่สุด...

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า พม.ได้มอบหมายให้นักวิจัยศึกษาสำรวจสภาพปัญหาการตั้งครรภ์ของเด็กและเยาวชน ก่อนวัยอันควร ที่มีจำนวนเพิ่มสูงขี้นประมาณปีละ 3.5% ที่น่าห่วงคือการแก้ปัญหาของเยาวชนบางส่วนพยายามเอาเด็กออกด้วยการทำแท้งเถื่อน การขับออกด้วยการทานยาหรือผลักตกจากที่สูง เอาท้องชนเสาเลียนแบบจากหนัง หากไม่สมหวังก็ส่งผลต่อเด็กที่ออกมาพิการ

ทั้งนี้ พม.จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยสนับสนุนให้มีเจ้าภาพร่วม ทำหน้าที่ดูแลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ภายใต้ยุทธศาสตร์กัน-แก้ แม่วัยเยาว์ โดยกำหนดลดจำนวนคลอดของแม่อายุน้อยกว่า 18 ปีลงร้อยละ 50 ในปี 2560 พ่อแม่วัยเยาว์ต้องได้รับการพัฒนาให้มีรายได้เลี้ยงตนเองได้ บุตรแม่วัยเยาว์ได้รับการดูแลตามมาตรฐานสุขภาวะเด็กปกติ รวมทั้งเฝ้าระวังและคุ้มครองเด็กที่เกิดจากแม่วัยเยาว์เป็นกรณีพิเศษ

นายสังคม คุณคณากรสกุล จากมหาวิทยาลัยรังสิต สรุปข้อมูลโครงการสำรวจสภาพปัญหาเพื่อพัฒนาระบบการช่วยเหลือแม่วัยเยาว์ โดยการสนับสนุนของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม.ว่า เป็นการศึกษาปี 2552 จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสตรีอายุไม่เกิน 18 ปีที่กำลังตั้งครรภ์และผู้ที่คลอดบุตรแล้ว 823 คนซึ่งเรียกว่า “แม่วัยเยาว์” และผู้เกี่ยวข้องได้แก่บุคคลในครอบครัว สามี ครู ญาติ เป็นต้น อีก 822 คน

ผลสำรวจพบว่าแม่วัยเยาว์ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นร้อยละ 37.9 ประถมศึกษาร้อยละ 11.8 และไม่ได้เรียนหนังสือร้อยละ 3.4 ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.6 ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการหารายได้เลี้ยงชีพ สภาพสมรสพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้แต่งงานแต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันร้อยละ 38แยกกับสามีร้อยละ 14.0 ร้อยละ 40 ต้องโดดเดี่ยวเพราะพ่อบุตรไม่รับผิดชอบ ส่วนพฤติกรรมเสี่ยงพบร้อยละ 12.4 ที่พัวพันกับการเสพยาเสพติด โดยสภาพแวดล้อมพบว่ามีคนรอบข้างที่พัวพันกับยาเสพติดร้อยละ 66.2 และร้อยละ 27.3 หรือ 3 ใน 10 คนมีคนรอบข้างกระทำการค้าประเวณี นอกจากนี้ร้อยละ 18.6 มีความคิดฆ่าตัวตาย ร้อยละ 16.8 มีพฤติกรรมมุ่งหวังให้เกิดการแท้งบุตร ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่กำลังศึกษาระดับปวช.มากสุดร้อยละ 24.2 ตรงข้ามกับกลุ่มไม่มีการศึกษาไม่เคยคิดทำแท้ง โดยรูปแบบจะเลือกวิธีการกินยามากที่สุด การค้นหาสถานที่ทำแท้ง ทุบตีกระแทกร่างกายตามลำดับ

นายสังคม กล่าวด้วยว่า สาเหตุปัญหาพบมากสุดคือ เด็กขาดการยับยั้งชั่งใจ รองลงมาคือ สภาพสังคมเปลี่ยนไป อิทธิพลของสื่อลามก/อนาจาร เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบดารา/ละคร/ภาพยนต์ และถูกล่วงละเมิดทางเพศตามลำดับ ส่วนความต้องการรับความช่วยเหลือพบว่า ต้องการค่าใช้จ่ายเงินสงเคราะห์ครอบครัว นมในการเลี้ยงบุตร บริการจัดหางาน ฝึกอาชีพ การกู้ยืมเงิน

ปรับมาตรฐานตำแหน่งบิ๊ก สพม.-สพป.

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เพื่อให้สอดรับกับการกำหนด สพม. และ สพป. โดยได้กำหนดให้ผู้ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งดังกล่าวต้องปฏิบัติงานด้านการบริหารการประถมฯ หรือมัธยมฯไม่น้อยกว่า 5 ปี, ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) มาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าขั้นต่ำของอันดับ คศ.4 และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา

รมว.ศธ. กล่าวอีกว่า ส่วนตำแหน่งรอง ผอ.สพม.และ สพป.กำหนดให้ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ต้องดำรงตำแหน่ง ผช.ผอ.สพท. หรือเจ้าหน้าที่บริหารการศึกษาขั้นพื้นฐาน และรับเงินเดือนไม่ต่ำกว่า คศ.3 หรือดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.สถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่ารอง ผอ.ชำนาญการพิเศษ หรือ ผอ.สถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่า ผอ.ชำนาญการพิเศษ หรือดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่มีประสบการณ์การบริหารไม่ต่ำกว่า ผอ.กลุ่ม หรือหัวหน้ากลุ่มมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และรับเงินเดือนไม่ต่ำกว่า คศ 3. หรือไม่ต่ำกว่าระดับ 8 หรือดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ ทั้งต้องปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการศึกษาประถมฯ หรือมัธยมฯไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา ซึ่งการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่อยู่สายประถมฯและมัธยมฯข้ามสายกันไม่ได้

พบหอพักเถื่อนมีมากกว่าครึ่ง พ่อแม่กำชับสท.เข้มงวด

นายกิตติ สมานไทย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.) เป็นประธานพิธีมอบรางวัลหอพักเครือข่ายดีเด่น ตามโครงการจัดระเบียบสังคมบริเวณปริมณฑล มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) โดยปีการศึกษา 2552 มีหอพักที่ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก 24 แห่ง ระดับดี 34 แห่ง เป็นหอพักในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 37 แห่ง กรุงเทพมหานคร 21 แห่ง

ด้านรศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า แม้จะมีการควบคุมดูแลหอพักให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ก็ยังพบปัญหา เช่น ร้านอาหารที่มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่พยายามเข้ามาอยู่ใกล้หอพัก ร้านเหล้ารอบรั้ว การอยู่ร่วมกันระหว่างชายหญิง เป็นปัญหาโลกแตกที่แก้ได้ยาก เนื่องจากบางหอพักต้องการเรียกลูกค้า ไม่ค่อยเข้มงวดกับกฎระเบียบ

อย่างไรก็ตาม โดยรอบมธบ.ยังมีปัญหาน้อย เมื่อเทียบกับรอบมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทั้งนี้มธบ.มีกลไกจัดระเบียบสังคมโดยขับเคลื่อนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ จ.นนทบุรี ซึ่งพยายามแก้ไขและควบคุมไม่ให้ปัญหาขยายตัวเพิ่มมากขึ้น

น.ส.อุษณี กังวารจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพิทักษ์เยาวชน สท. กล่าวว่า เท่าที่สำรวจพบหอพักจำนวนมากกว่าครึ่งที่ยังไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามที่พระราชบัญญัติหอพักกำหนด หรือเป็นหอพักเถื่อน ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยก็โทรศัพท์เข้ามาที่ สท. ให้ช่วยดูแลกวดขันบุตรหลานที่อยู่หอพักต่างๆให้ได้มาตรฐาน หรือเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากไม่มีเวลาดูแลด้วยตนเอง

สุวิทย์ ยกย่อง 'ครูช่าง' เฟืองชิ้นสำคัญผลักดันประเทศ

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยในงานประชุมวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรมระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ว่า ครุศาสตร์อุตสาหกรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ โดยเฉพาะบทบาทในการผลักดันศักยภาพของนักเรียนนักศึกษาไทย รวมถึงความสามารถในการทำงานต่อในภาคอุตสาหกรรมได้ทันทีเมื่อเรียนและฝึกอบรมจบ แต่หลักสูตรการศึกษาในปัจจุบัน กลับเน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติหรือพัฒนาฝีมือ นักเรียนช่างต้องเข้ารับการฝึกอบรมก่อนเข้าทำงานจริง ซึ่งทำให้เสียเวลาอีก 3-6 เดือน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีโอกาสในการพัฒนากำลังพลด้านดังกล่าว โดยสร้างความใกล้ชิดระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อศึกษาและวิจัยความต้องการบุคลากรในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง รวมทั้งให้ความสำคัญกับในการรับรองคุณภาพฝีมือทางการช่างของเยาวชนไทยว่ามีขีดความสามารถ ทั้งนี้ เอกสารหนังสือรับรองจะต้องมีคุณสมบัติเทียบเท่าระดับนานาชาติ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้าทำงานทั้งภายในและนานาประเทศ

แม้ขณะนี้ การศึกษาในประเทศไทยยังไม่เน้นการพัฒนาบุคลากรในสายงานการผลิตเหมือนต่างประเทศ แต่เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากพอแต่ขาดการผลักดันและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนการผลักดันความรู้เชิงทฤษฎีนั้้น ยอมรับว่าวิชาการความรู้มีความสำคัญแต่ฝีมือทางการช่างมีความจำเป็นมากกว่า โดยฝีมือจะเกิดจากประสบการณ์ การฝึกฝน และการปฏิบัติบ่อยครั้ง รวมถึงความละเอียดชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของงานช่าง ดังนั้นการฝึกความพร้อมด้านจิตใจ วิสัยทัศน์ และความเข้าใจในระบบงาน จึงมีความสำคัญและนำไปสู่การพัฒนาฝีมือช่างและอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อไป

ส่วนบทบาทของครูช่างนั้น นอกจากความเป็นครูยังจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ เนื่องจากครูช่างถือเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนากำลังคนของประเทศ เปรียบเสมือนหัวใจของเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสร้างโอกาสในการเดินหน้า และทำให้ประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขันและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศอีกด้วย

ถูกตัดงบฯปี54 วธ.รับกว่า5พันล.

"นิพิฏฐ์"เผยงบฯ กระทรวงวัฒนธรรม ปี54 รับ 5,220 ล้านบาท ชี้ถูกตัดเกือบครึ่ง แต่ยังพอใจ เพราะได้มากกว่าปีก่อน เผยแผนดำเนินงานเน้นนโยบายเร่งด่วน...

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐสภาได้พิจารณาเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ของกระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 5,220 ล้านบาท จากที่สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำรายละเอียดคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2554 ไปถึง 10,214,312,300 ล้านบาท แต่ก็ถูกตัดเหลือ 5,220 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตนถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่งบประมาณในปี 2554 ได้รับเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2553 ถึง 872,183,400 ล้านบาท จากเดิมที่ได้รับเพียง 4,347,816,600 ล้านบาท โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับงบประมาณดังกล่าว 1,240,583,000 ล้านบาท กรมการศาสนา(ศน.) ได้รับ 380,404,700 ล้านบาท กรมศิลปากร(ศก.) ได้รับ 1,653,692,100 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ(สวช.) ได้รับ 648,819,200 ล้านบาท สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย(สศร.) ได้รับ 145,101,700 ล้านบาท สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ได้รับ 897,855,700 ล้านบาท ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) 94,634,800 ล้านบาท และหอภาพยนตร์(องค์การมหาชน) ได้รับ 58,492,900 ล้านบาท

“แผนการดำเนินงานในปี 2554 ของกระทรวงวัฒนธรรมจะเน้นนโยบายเร่งด่วน โดยได้จัดทำแผนการแก้ไข และพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้มิติทางวัฒนธรรมและแผนสนับสนุน การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ส่วนนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต กระทรวงวัฒนธรรมจะเน้นงานสนองสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม การดำเนินงานของคณะกรรมการมรดกโลก การปกป้องคุ้มครองมรดกที่จับต้องไม่ได้ การสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ และการพัฒนาศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยให้เป็นพื้นที่บริการทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ” รมว.วัฒนธรรม กล่าว.

Monday, August 23, 2010

วธ.เล็งประเมินจิตสาธารณะทุกจังหวัด

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า ตนได้มอบนโยบายให้นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเฝ้าระวังทั่วประเทศช่วยกันพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เนื่องจากเห็นว่าการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมเป็นการแจ้งเตือนภัยสังคมให้ระมัดระวังเตรียมรับปัญหาและผลกระทบเชิงวัฒนธรรม รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อหาแนวทางการป้องกัน แก้ไขจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ชุมชนและท้องถิ่น ให้มีความเข้มแข็งจะร่วมกันอนุรักษ์และ สืบสานมรดกทางวัฒนธรรม และป้องกันปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้น เช่น เด็กติดเกม ยาเสพติด การพนัน และความรุนแรง เป็นต้น รวมทั้งควรเชื่อมโยงกับสายด่วนวัฒนธรรม 1765 ที่คอยรับเรื่องและเบาะแสต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและทันกับสถานการณ์มากขึ้น

“ผมมีแนวคิดที่จะให้เครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมประเมินจิตสาธารณะในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งจิตสาธารณะนี้จะเป็นตัวบ่งชี้หนึ่งในการพัฒนาสังคมไทย โดยจะใช้วิธีประเมินเป็นฐานคะแนนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนพิการ คนแก่ ของหายได้คืน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนพิการกำลังจะข้ามถนน กำหนดค่าคะแนนเท่ากับ 1 ถ้ามีคนมาช่วยเหลือ 8 ครั้ง ก็จะได้ 8 คะแนน หรือเมื่อมีคนลืมโทรศัพท์ 10 ครั้งไม่มีใครเก็บคืนเจ้าของ ก็ได้ 0 คะแนน เป็นต้น ซึ่งผลการประเมินก็จะทำให้ทราบว่าแต่ละจังหวัดมีจิตสาธารณะมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร และควรจะกระตุ้นเตือนเรื่องใดบ้าง” ปลัด วธ. กล่าว.

จี้สถาบันผลิตแพทย์ปลูกฝังจิตอาสาให้นศ.

ศ.นพ.อาวุธ ศรีศุกรี เลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) กล่าวถึงกรณีปัญหาแพทย์จบใหม่ไม่ยอมชดใช้ทุนด้วยการไปทำงานแต่ยอมใช้เงินแทนว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนดให้แพทย์จบใหม่ต้องไปทำงานใช้ทุนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ และไม่เกี่ยวกับที่ว่าเด็กมาเรียนแพทย์จะมีฐานะดี เพราะเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนก็เรียนคณะแพทย์จำนวนมากเช่นกัน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสาเหตุดังกล่าวน่าจะมาจากทัศนคติของแพทย์จบใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยมองว่าทำไมต้องมาใช้ทุนทำงาน ทั้งที่เรียนเหมือนนิสิตนักศึกษา คณะอื่น ๆ ที่ไม่ต้องใช้ทุน อีกทั้งยังมองว่าการไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชนมีรายได้สูงกว่า ซึ่งทางกลุ่มแพทย์มีการหารือกันหลายครั้ง รวมถึงกำลังศึกษาวิจัยหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไขปัญหา คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้

ศ.นพ.อาวุธ กล่าวต่อไปว่า ส่วนตัวมองว่าปัญหานี้จะแก้ไขได้ต้องเริ่มจากการปลุกจิตอาสา จิตสาธารณะให้แก่นิสิตนักศึกษาแพทย์ ซึ่งขณะนี้คณะแพทย์ทุกมหาวิทยาลัยพยายามปลูกฝังเรื่องนี้ นอกจากนี้ตนเห็นว่าควรมีค่าตอบแทนแก่แพทย์ที่ไปทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัดสูงกว่าแพทย์ที่ทำงานในเมือง เหมือนในต่างประเทศ แพทย์ที่ทำงานในชนบทจะได้ค่าตอบแทนสูงกว่า 10 เท่าของแพทย์ในเมือง รวมถึงควรมีสวัสดิการด้านต่าง ๆ ให้ด้วย เพื่อเป็นแรงจูงใจ อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าแพทย์ส่วนใหญ่ยังทำงานบนพื้นฐานของการช่วยเหลือ ดูแลผู้ป่วย ส่วนรายได้เป็นปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

“สำหรับเรื่องร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข หากจะมีการประกาศใช้ควรปรับแก้เนื้อหาให้เอื้อประโยชน์ต่อแพทย์และคนไข้ เพราะผมเชื่อว่าแพทย์ทุกคนต้องการรักษาคนไข้ให้หายจากโรคภัย คงไม่มีใครประสงค์ร้ายแน่นอน” ศ.นพ.อาวุธ กล่าว.

“ห้องเรียนทดลองวิทย์”ฉบับญี่ปุ่นเทคนิคเรียนวิทยาศาสตร์สุดสนุก

“การเรียนวิทยาศาสตร์ให้สนุก ไม่ยาก และไม่น่าเบื่อนั้น ง่ายมาก ครูต้องปรับทัศนคติของเด็กตั้งแต่ประถม ให้เด็กได้เรียนรู้ เล่น ทดลอง ค้นคว้า วิเคราะห์ และหาคำตอบด้วยตนเอง เมื่อเด็กได้ทดลอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้เกิดคำถาม เมื่อเกิดคำถามก็ถือว่าเด็กได้เปิดประตูวิทย์แล้ว หลักสูตรห้องเรียนทดลองวิทย์ ที่ผมคิดเป็นโปรแกรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ทำให้เด็กสนุกไปกับการเรียนแบบฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง

ได้ทดลอง วิเคราะห์ อันนำไปสู่การสร้างกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดขึ้นในตัวของเด็กเองไ แนวการสอนแบบฉบับ มร.ฮิโรฟูมิ ยูโมโตะ นักการศึกษา กักเคน เอดุเคชั้นแนลแห่งประเทศญี่ปุ่น ผู้คิดค้น “หลักสูตรห้องเรียนทดลองวิทยาศาสตร์” ที่ทำให้เด็กในหลายๆ ประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น ไต้หวัน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รักในการเรียนวิทย์มาแล้ว

ยูโมโตะ เล่าต่อว่า เด็กประถมประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกลียดการเรียนวิทย์ ครูผู้สอนไม่ได้จบสายวิทย์โดยตรง แถมบางคนต้องสอนหลายวิชาเมื่อมาสอนวิทยาศาสตร์ จึงสอนแบบท่องจำ ไม่ให้เด็กได้ลงมือทำ จึงได้นำโปรแกรมการเรียนวิทย์ ซึ่งมีประมาณ 30 ชุด ในแต่ละชุดแบ่งเป็นกิจกรรมย่อยๆ ให้เด็กใน 72 โรงเรียนได้ทดลองเรียน โดยจะเรียนคาบละ 90 นาที พบว่าเด็กสนใจ รักในการเรียนวิทย์มากขึ้น พวกเขารู้สึกสนุก ตื่นเต้น เหมือนได้เห็นความมหัศจรรย์ของวิทย์ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เด็กเกิดความคิด จินตนาการ การเรียนรู้ ความอยากรู้ อยากเห็น และอยากลงมือทำ

ธรรมชาติของเด็กประถม ชอบเรียนรู้ ชอบเล่น ชอบทำสิ่งใหม่ๆ ที่ตนเองไม่เคยได้ลองทำมาก่อน ยูโมโตะ เล่าอีกว่า ห้องเรียนทดลองวิทย์ หรือโปรแกรมที่นำมาสอน ไม่ว่าจบครูสายวิทย์หรือไม่สามารถสอนได้ เพียงต้องทำความเข้าใจ เพราะอุปกรณ์ทุกชุดล้วนเป็นการฝึกให้เด็กต้องทดลองทำด้วยตนเอง เพื่อให้พวกเขารู้จักตั้งคำถาม ค้นหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง และฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ และต้องทำรายงานส่ง เป็นการฝึกการวิเคราะห์และสรุปผลอย่างมีเหตุมีผล ทั้งนี้ก็ใช่ว่าครูวิทย์จะไม่สำคัญ เพราะกระบวนการเรียนการสอนวิทย์จะไม่สมบูรณ์หากครูไม่เป็นผู้คอยกระตุ้น ให้เกิดคำถาม คอยดูแล ไขข้อข้องใจในสิ่งที่เด็กอยากรู้ และแนะนำการทดลอง

“ปัจจุบันคนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเกลียดการเรียนวิทย์ทั้งสิ้น แต่ที่ผมชอบเรียนวิทย์ ส่วนหนึ่งเกิดจากครูนำการทดลองมาให้ผมทำ ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์จากการเรียนวิทย์ และตอนนั้นรัฐบาลให้การสนับสนุนการเรียนวิทย์ค่อนข้างมาก ครูสอนวิทย์มีผู้ช่วย ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมาช่วยเตรียมอุปกรณ์การทดลองต่างๆ ทำให้เด็กในรุ่นผมได้ทำการทดลองค้นคว้า การเรียนวิทย์จึงเป็นเรื่องสนุกสนาน และท้าทายมากๆ แถมทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่ เป็นคนคิดกระบวนการทดลอง หรือหาคำตอบใหม่ๆ ได้ ดังนั้น หากจะทำให้เด็กไม่ว่าจะญี่ปุ่น หรือไทย รักการเรียนวิทย์ได้ ต้องเริ่มปรับทัศนคติของเด็กให้มาเป็นด้านบวก ให้เขามองเห็นสิ่งดีๆ ของการเรียนวิทย์ ครูต้องเป็นผู้ป้อนกิจกรรม การทดลอง และรัฐบาลต้องสนับสนุนให้ครูได้มีเวลามากพอในการเตรียมอุปกรณ์ หรือมีผู้ช่วยครูที่เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของครู”

ล่าสุดนานมีบุ๊ค จัดอบรม จัดค่าย จัดโรดโชว์ โปรแกรมห้องเรียนทดลองวิทย์ มีทั้งหมด 12 โปรแกรม ให้แก่ครูโรงเรียนต่างๆ โดยแต่ละโปรแกรมมี 3 หัวข้อ รวม 36 หัวข้อ เรียนหัวข้อละ 2 คาบ คาบละ 90 นาที โปรแกรม A มี 3 หัวข้อ 1.อาหารมหัศจรรย์ 2.ความลับของแม่เหล็ก และ 3.มหัศจรรย์แห่งเสียง เป็นต้น โดยในแต่ละโปรแกรมมีชุดอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ทั้งนี้คุณครูสามารถประยุกต์อุปกรณ์ที่มีอยู่มาใช้ได้

ส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้มีกิจกรรมสอนเสริมวิทย์ เพราะวิทย์เป็นการกระตุ้นสติปัญญา ที่ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว แต่เด็กๆ สามารถหาคำตอบที่หลากหลายได้ด้วยตนเอง หากพวกเขาได้ลงมือทดลอง และห้องเรียนทดลองวิทย์ ไม่ใช่เป็นการสอนตามหลักสูตรแกนกลาง แต่เป็นการสอนเสริมเรื่องต่างๆ ที่ได้ทั้งสาระความรู้ และความสนุกสนาน ช่วยให้เกิดความเข้าใจ คิด วิเคราะห์ พร้อมๆ กับเป็นการเปลี่ยนทัศนคติให้เด็กชอบเรียนวิทย์มากขึ้น และฉลาดขึ้นด้วย

วิทยาศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มีความจำเป็นอย่างมาก หากทำให้เด็กได้รัก ชอบการเรียนวิทย์ ก็จะทำให้พวกเขาสนใจเรียนวิทย์ได้ดีขึ้น อันนำไปสู่การพัฒนาคนในสังคมให้ก้าวหน้าขึ้น เมื่อสังคมก้าวหน้าประเทศก็จะก้าวหน้า สนใจการเรียนรู้ห้องเรียนทดลองวิทย์ สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2662-3000 กด1 หรือ www.nanmeebook.com

รถยนต์วิ่งด้วยวิสกี้ ใช้กากเหล้าสกอตช์วิสกี้ผลิต เชื้อเพลิงชีวภาพ

คอวิสกี้สกอตคงจะรู้สึกเฮไปด้วย เมื่อนักวิทยาศาสตร์เมืองวิสกี้ ได้เปิดเผยว่าได้เอากากของการทำวิสกี้ไปผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพใช้กับรถยนต์ได้

นักวิจัยของศูนย์วิจัยเชื้อเพลิงชีวภาพ ของมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ นาเปียร์ เปิดเผยว่าได้เอาสิ่งที่เหลือทิ้งจากการผลิตวิสกี้ 2 ชนิด ได้แก่ กาก ซึ่งเป็นส่วนผสมมอลต์ กับน้ำที่เหลือในหม้อต้มกลั่นวิสกี้ และเศษข้าวมอลต์ที่เหลือจากการต้มกลั่นมาทำบิวทานอล ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงได้

นายมาร์ติน แทงนีย์ ผู้อำนวยการศูนย์และเป็นหัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า ในทางปฏิบัติเชื้อเพลิงชีวภาพอาจจะใช้ผสมกับน้ำมันกับเบนซิน ในอัตราร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 พร้อมกันนั้น นายริชาร์ด ดิกซัน แห่งกองทุนสัตว์ป่าโลกของสกอต ยังให้ความเห็นว่า การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพบางอย่าง อาจจะสร้างความเสียหายของสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่กับป่าไม้และสัตว์ป่า แต่รถยนต์ที่วิ่งด้วยวิสกี้ จะช่วยให้สกอตแลนด์หลีกเลี่ยงไม่ต้องไปใช้พวกเชื้อเพลิงชีวภาพที่ต้องทำลายป่าลงด้วยได้.

"กษิต"แนะชำระประวัติศาสตร์อาเซียน ชูบทบาทมหาวิทยาลัยลดขัดแย้ง

รมว.ต่างประเทศ ชี้ บัณฑิตไทยจะต้องมีความสามารถในการแข่งขัน และร่วมทำงานกับบัณฑิตอื่นๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนได้ แนะมหาวิทยาลัยเน้นผลิตบัณฑิตให้มีทักษะด้านภาษา อย่างน้อย 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเพื่อนบ้าน ให้มากขึ้น...


จากการประชุมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ในฐานะประธาน ทปอ. เผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเชิญนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับบทบาทของมหาวิทยาลัยเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งนายกษิตเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพทั้งมีบทบาทสำคัญหรือเป็นหัวหอกในการเตรียมตัวบุคคลหรือบัณฑิตที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมระหว่างประเทศอาเซียน ดังนั้น บัณฑิตไทยจะต้องมีความสามารถในการแข่งขันและร่วมทำงานกับบัณฑิตอื่นๆในกลุ่มประเทศอาเซียน รมว.การต่างประเทศจึงแนะนำให้มหาวิทยาลัยเน้นการผลิตบัณฑิตให้มีทักษะด้านภาษา อย่างน้อย 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเพื่อนบ้าน ให้มากขึ้น

ประธาน ทปอ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายกษิตยังเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพในการชำระประวัติศาสตร์ของประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อลดความขัดแย้ง เพิ่มความสัมพันธ์อันดี และมาร่วมกันพัฒนากลุ่มอาเซียนให้ก้าวหน้าต่อไป ทปอ.จึงมีมติให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งรวบรวมข้อมูลความร่วมมือของแต่ละมหาวิทยาลัยกับประเทศกลุ่มอาเซียนเสนอในการประชุม ทปอ.ในครั้งต่อไป เพื่อกำหนดเป็นยุทธศาสตร์บทบาทของมหาวิทยาลัยในการร่วมมือกับกลุ่มอาเซียนต่อไป นอกจากนี้ ทปอ.ยังขอความร่วมมืออธิการบดีให้ประสานคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยของตนเองให้ร่วมใช้คะแนน GAT และ PAT ในการคัดเลือกระบบรับตรงที่กำลังดำเนินการอยู่

มบส.รุกคลอดหลักสูตรภูมิภาค

มบส. ร่วมมือด้านการศึกษากับประชาคมอาเซียนตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน มีการจัดทำหลักสูตรและแลกเปลี่ยนคณาจารย์ นิสิต นักศึกษามาเรียนร่วมกัน...


รศ.ดร.สุพล วุฒิเสน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) กล่าวว่า มบส.มีความร่วมมือด้านการศึกษากับประชาคมอาเซียนตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจัดทำหลักสูตรและแลกเปลี่ยนคณาจารย์ นิสิต นักศึกษามาเรียนร่วม

ที่สำคัญ มบส.ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ล่าสุดได้ร่วมมือจัดประชุมเชิงวิชาการ ในการยกร่างหลักสูตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (Asian Study) ระดับปริญญาตรี มีผู้แทนจากจีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย ร่วมยกร่างหลักสูตร คาดว่าเร็วๆนี้ หลักสูตร Asian Study จะแล้วเสร็จ ซึ่งจะเป็นโครงการนำร่องหลักสูตร Asian Study ครั้งแรกที่เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการศึกษาของประเทศในภูมิภาคอาเซียน สามารถดึงคนทั่วโลกมาลงทะเบียนเรียนวิชานี้กับมหาวิทยาลัยในประชาคมอาเซียน

จุฬาฯคว้าทองโชว์ไอเดียวิทย

นิสิตปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเหรียญทองจากการนำเสนอผลงานสาขาเคมีที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย...


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ส่งตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมโครงการกระทบไหล่ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย จำนวน 10 คน โดยมี นพ.ดร.อมรพันธุ์ เสรีมาศพันธุ์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้คุมทีม

โดยผู้แทนเยาวชนไทยจับคู่กับผู้แทนต่างชาติ นำเสนอรายงานตามหัวข้อที่ผู้ได้รับรางวัลโนเบลระบุ ผลปรากฏว่า นายพัฒนนาวี นาเลาห์ นิสิตปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเหรียญทองจากการนำเสนอผลงานสาขาเคมี

ผู้สูงอายุทั่วโลกพุ่ง ไทยจับมือญี่ปุ่นถกรับมือ

ปลัด สธ.ชี้ ปี 68 ผู้สูงอายุไทยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26 ขณะที่ทั่วโลกเพิ่มถึง 800 ล้านคน ไทยถกพัฒนารูปแบบบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุในประเทศ เชิงบูรณาการโดยชุมชน ...

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่โรงแรมมารวย การ์เด้น กรุงเทพฯ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายเคียวโยจิ โคมะชิ (Mr. Kyoji KOMACHI) เอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เปิดประชุมวิชาการโครงการพัฒนารูปแบบบริการสุขภาพและสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย เชิงบูรณาการโดยชุมชน ปี 2553 ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรัฐบาลญี่ปุ่น โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า (JICA) เป็นผู้สนับสนุนทางด้านวิชาการ เพื่อเผยแพร่กิจกรรมโครงการแก้ไขสภาวการณ์เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วของประเทศไทย และนำเสนอโครงการและกิจกรรมในพื้นที่นำร่อง 4 ภาคๆ ละ 1 จังหวัด คือ เชียงราย นนทบุรี ขอนแก่นและสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบรถเข็นให้ผู้สูงอายุในพื้นที่ 4 จังหวัด 150 คันด้วย

นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ขณะนี้ทุกประเทศต้องเตรียมเผชิญผลกระทบของภาวะสังคมผู้สูงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในปี 2568 คาดว่าจะมีผู้สูงอายุทั่วโลกมากกว่า 800 ล้านคน 2 ใน 3 อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา สำหรับไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2568 คาดจะใช้เวลาเพียง 22 ปี โดยจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18 เป็นร้อยละ 26 ของประชากรทั้งหมด และ 1 ใน 5 จะมีผลกระทบด้านสุขภาพและสวัสดิการสังคม ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากในการเตรียมผู้ดูแล การจัดบริการ และการพัฒนาประเทศในภาพรวม

นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อไปว่า โครงการความร่วมมือไทยกับญี่ปุ่นครั้งนี้นับเป็นความร่วมมือที่ดี เนื่องจากญี่ปุ่นได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2537 โดยมีระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2554 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งระดับชาติ ระดับจังหวัด ตำบลและหมู่บ้าน โดยใช้ชุมชนเป็นหลัก ปีแรกเป็นการศึกษาข้อมูลผู้สูงอายุในพื้นที่นำร่อง และศักยภาพของพื้นที่ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ปีที่ 2-4 จัดทำแผนยุทธศาสตร์บูรณาการสุขภาพและสวัสดิการสังคม จัดทำแผนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุ และสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสม และดำเนินการตามแผนโดยชุมชน ซึ่งมีการสนับสนุนทรัพยากรด้านต่างๆ และการพัฒนาบุคลากรให้เหมาะสมกับกิจกรรม การประเมินผลเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ จะสรุปผลการดำเนินงานเสนอผู้บริหารระดับสูง เพื่อเสนอเป็นนโยบายของรัฐบาล ในการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุ และศักยภาพของชุมชนในการป้องกัน แก้ไขปัญหาของผู้สูงอายุอย่างครอบคลุม มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละภาค ตั้งเป้าในเดือนตุลาคม 2557 จะมีตำบลร้อยละ 15 ของจังหวัดนำร่อง มีการขยายผล และบูรณาการงานนี้รองรับปัญหาผู้สูงอายุในพื้นที่

ปลัด สธ. กล่าวด้วยว่า โครงการที่ทำในแต่ละพื้นที่ อาทิ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงราย เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาคอีสาน ที่จังหวัดขอนแก่น เน้นการแก้ปัญหาด้านสุขภาพตา และฟัน ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากรอดพ้นจากภาวะตาบอด และมีการใส่ฟันปลอมให้ผู้สูงอายุโดยทีมทันตแพทย์ในชุมชนเป็นแห่งแรกของประเทศ ภาคกลางที่จังหวัดนนทบุรี ได้ตั้งศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุในชุมชน และภาคใต้ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดหน่วยเคลื่อนที่ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน.

พบคนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตกว่า 5 ล้านคน

สธ. เผยคนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตกว่า 5 ล้านคน โรคจิตเภทครองแชมป์ เล็งเปิดศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางภายในปี 2554 หวังเป็นศูนย์กลางทางการรักษา และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภูมิภาค ...

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มเกิดปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2552 พบประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป มีปัญหาสุขภาพจิตร้อยละ 12 หรือประมาณ 5 ล้านคน คนกลุ่มนี้ยังไม่ใช่คนป่วย หากได้รับการดูแลส่งเสริมสุขภาพจิตก็จะทุเลาและหายเป็นปกติ ส่วนผู้ป่วยทางจิตที่ได้รับการดูแลรักษาในปี 2551 ทั่วประเทศมี 1,668,041 ราย มากที่สุดคือ โรคจิตเภท 445,840 ราย รองลงมา ได้แก่ โรควิตกกังวล 375,035 ราย โรคซึมเศร้า 199,667 ราย ที่เหลือเป็นโรคอื่นๆ เช่น ติดสารเสพติด โรคลมชัก ปัญญาอ่อน โดยเฉลี่ยผู้ป่วยทางจิตจะใช้เวลารักษาในโรงพยาบาล 41 วัน สูงกว่าผู้ป่วยโรคทางกาย 5-6 เท่าตัว

ดร.พรรณสิริ กล่าวต่อว่า ในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภท ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังต้องกินยาควบคุมอาการต่อเนื่อง และมีผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยทางจิตทั้งหมด กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายจะพัฒนาสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจิตเวชแห่งแรกของไทย เปิดบริการมานานกว่า 120 ปี ให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแลผู้ป่วยโรคนี้เป็นการเฉพาะภายในปี 2554 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรักษาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการรักษาลงสู่ภูมิภาค ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมารักษาในกรุงเทพฯ โดยจะเน้นการรักษาที่โรงพยาบาล และการจัดระบบติดตามเยี่ยมบ้านผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง หากผู้ป่วยได้รับการดูแลดี อาการก็จะไม่กำเริบ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล

ด้าน นพ.สินเงิน สุขสมปอง ผอ.สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์ฯ มีผู้ป่วยโรคจิตเภทประมาณร้อยละ 50 ของผู้มารับการตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก และร้อยละ 60-70 ของผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล ได้พัฒนากระบวนการรักษาโดยใช้ยาและใช้ระบบไฟฟ้าทันสมัยที่สุดในประเทศ และเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับอาการ รวมทั้งจัดกิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่นฟื้นฟูทักษะทางสังคม การฝึกอาชีพที่เหมาะสม โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกองทุนสมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เพื่อฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวช มีบริการจิตเวชฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และจะเปิดไอซียูจิตเวชเป็นห้องแยกสำหรับควบคุมพฤติกรรมผู้ป่วยจิตเภทที่มีความรุนแรงสูง เป็นแห่งแรกของประเทศในปี 2554

นพ.สินเงิน กล่าวต่อว่า โรคจิตเภท มักพบในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ลักษณะเด่นมีความผิดปกติทางความคิด พูดไม่ต่อเนื่อง มีประสาทหลอน หูแว่ว หรือ หลงผิดคิดว่า มีเทพในร่างบอกให้ทำสิ่งต่างๆ สาเหตุส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของสมองบางส่วน หากมีความเครียดมากระตุ้น ก็จะทำให้อาการกำเริบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสหายน้อยมาก ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 95 จะกลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ต้องกินยาควบคุมอาการตลอดชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยจะมีความเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางสมอง มีปัญหาในการใช้ชีวิต การทำงาน และสังคม ต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง.

เด็กไทยเจ๋ง คว้าเหรียญทอง คอมพ์โอลิมปิก

เด็กไทยเจ๋ง สร้างชื่อไกลถึงแคนาดาที่เวทีแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ "น้องกันต์" ม.6 รร.กรุงเทพคริสเตียนฯคว้า 1 เหรียญทอง ขณะที่เพื่อนร่วมทีมซิว 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง...

เมื่อวันที่ 21 ส.ค. นางพรพรรณ ไวทยางกูร ผอ.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า หลังจาก สสวท.ได้คัดเลือก และจัดส่งผู้แทนประเทศไทย จำนวน 4 คน ไปแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2553 ณ เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดาระหว่างวันที่ 14 – 21 ส.ค. 2553 ปรากฏว่า เด็กไทยทั้ง 4 คนสามารถคว้ารางวัลจากการแข่งขันมาได้ 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดงจากจำนวนผู้เข้าแข่งขัน 292 คน จากประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 83 ประเทศ โดยนายพศิน มนูรังษีจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยได้เหรียญทอง นายวีระกานต์ สินทวีเลิศมงคลและ นายสุธี เรืองวิเศษจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เหรียญเงินและนายศรัณย์ ไพศาลศรีสมสุข โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยได้เหรียญทองแดง

นายพศิน มนูรังษี หรือ กันต์ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่ได้เหรียญทอง กล่าวว่า ปัจจุบันคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมากเพราะเป็นแหล่งความรู้ ความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุด การจะให้เด็กไทยสนใจวิทยาการนี้ โรงเรียนควรส่งเสริมทุกๆ ด้านโดยให้เด็กได้มีโอกาสสัมผัส ได้เรียนรู้จริง หรือจัดโครงการสนับสนุนอย่างจริงจัง เคล็ดลับเรียนดีต้องแบ่งเวลาให้เหมาะสมทั้งเรียน เล่น ทำกิจกรรม และพักผ่อนลดความเครียดช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น กิจกรรมก็สำคัญเพราะเสริมสร้างทักษะการดำเนินชีวิตได้รู้จักโลกกว้างขึ้น อนาคตสนใจศึกษาต่อทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเป็นผู้แทนประเทศไทยถือว่าได้รับโอกาสมากกว่าเพื่อนๆน้องๆ จึงคิดว่าควรถ่ายทอดความรู้ให้กับเพื่อนๆ เพราะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับสังคมไทยปัจจุบัน

ขณะที่วีระกานต์ สินทวีเลิศมงคล มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เหรียญเงิน กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ สำคัญมากช่วยเปิดโลกทัศน์ให้ก้าวทันสังคมโลก จึงอยากให้โรงเรียนต่างๆ มีหลักสูตรวิชาคอมพิวเตอร์ที่เป็นทางการและจัดหา สื่อการเรียนการสอนให้นักเรียนมากขึ้นเพราะแต่ละโรงเรียนยังขาดอยู่มาก ด้านครอบครัวประทับใจคุณพ่อคุณแม่ที่ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เล็กๆ และส่งเสริมให้ลูกๆ ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง

นายนายสุธี เรืองวิเศษ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เหรียญเงิน กล่าวว่า โรงเรียนควรเพิ่มหลักสูตรคอมพิวเตอร์อย่างเป็นทางการในระดับมัธยมศึกษาตอน ปลายเพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องศึกษาไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อทุกๆ อาชีพ ซึ่งนำความรู้ด้านนี้ไปใช้ประโยชน์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างกว้างขวาง

นายศรัณย์ ไพศาลศรีสมสุข มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เหรียญทองแดง กล่าวว่าโรงเรียนต่างๆ ควรมีหลักสูตรเสริมวิชาคอมพิวเตอร์ให้นักเรียนได้เลือกเรียน เพื่อที่สักวันหนึ่งจะสามารถค้นพบตัวเองได้ เหมือนกับที่เขาพบว่าตนเองรักการเรียนรู้ศาสตร์นี้ ด้านการเรียนได้แบ่งเวลาว่างมาช่วยติวเสริมความรู้ให้รุ่นน้องสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อนาคตตั้งใจเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์นำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ

สำหรับปี 2554 การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 23 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับนานาชาติดังกล่าวระหว่างวันที่ 22–29 ก.ค. 2554 ณ เมืองพัทยา.

น้ำตาตัวผู้อ้อนตัวเมียใจอ่อน นำความรู้มาใช้ในการควบคุมประชากรหน

น้ำตาของเพศผู้ก็ทำให้เพศเมียใจอ่อนได้ ดังจะเห็นตัวอย่างได้อย่างชัดเจนในฝูงหนู

วารสาร "ภูมิศาสตร์แห่งชาติ" ของสหรัฐฯ รายงานเหตุผลเรื่องนี้ให้ทราบว่าในน้ำตาของหนูตัวผู้มีสารฟีโรโมน อันเป็นสารเคมีสัญญาณที่สัตว์บางชนิดปล่อยออกมาเพื่อติดต่อกับตัวอื่น เพื่อให้ตัวเมียตอบสนองเมื่อถึงหน้าผสมพันธุ์

นักวิจัยคาชิเกะ ตูอารา มหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้เรียบเรียงรายงานผลการศึกษา กล่าวว่า หนูตัวผู้หลั่งน้ำตาเพื่อป้องกันตาแห้ง แต่ขณะที่มันเลียขนแต่งตัวมันนั้นน้ำตาซึ่งมีสารฟีโรโมน ก็จะเปื้อนกระจายไปทั่วตัวและรังของมันด้วย เมื่อตัวเมียมาถูกตัวผู้หรือรังของมันเข้า มันก็จะได้สารฟีโรโมนเข้าไปด้วย โดยมันจะมีโปรตีนซึ่งจะเป็นตัวรับสัญญาณสารเคมีนี้โดยเฉพาะอยู่

"เมื่อตัวเมียโดนถูกสารนั้นเข้า เพราะมันไม่ใช่สารระเหยเหมือนอย่างกลิ่นหอม สารจะออกฤทธิ์แล่นไปถึงสมองตัวเมียส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ ซึ่งมันจะยอมให้ตัวผู้ผสม"

เขาอธิบาย ความรู้เรื่องนี้อาจจะนำไปใช้ในโลกของความเป็นจริงในการควบคุมจำนวนประชากรหนูได้.

สมาคม ผอ.สพท.จี้ทบทวนสั่งย้าย "สุรศักดิ์"

ชี้เหตุผลโดนโยกไร้น้ำหนัก เตรียมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้ทบทงนคำสั่ง "ชินภัทร" วอนอย่าใช้ศึกศักดิ์ศรีก่อปัญหา...


ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า การย้ายนายสุรศักดิ์ ศรีสว่างรัตน์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กรุงเทพมหานคร เขต 3 ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่สพฐ. ไม่กระทบสิทธิประโยชน์ที่เคยได้รับ และตนได้ให้สัญญาสุภาพบุรุษไว้ว่าจะดูแลนายสุรศักดิ์ เมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้ายในเดือนต.ค. ก็จะแต่งตั้งนายสุรศักดิ์กลับไปเป็นผอ.สพท. แทนนายปรีชา จิตรสิงห์ ผอ.สพ.กทม.เขต 2 ที่จะเกษียณอายุราชการ เพราะถือว่านายสุรศักดิ์เป็นผู้เสียสละ ส่วนที่ไม่ตั้งนายสุรศักดิ์ไปปฏิบัติหน้าที่ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯนั้น เพราะสพฐ.มีหลักเกณฑ์ว่าจะให้ประธานศูนย์ประสานงานการมัธยมศึกษา เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ จึงแต่งตั้งนายวิทธยา บริบูรณ์ทรัพย์ ผอ.ร.ร.โยธินบูรณะ ซึ่งทำหน้าที่ประธานศูนย์มัธยมฯอยู่ ปฏิบัติหน้าที่เพื่อความต่อเนื่อง

ส่วนนายปรีชา เนื่องจากจะเกษียณเดือน ต.ค.นี้ จึงต้องดูแลให้เกษียณด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี ถ้านายสุรศักดิ์ไม่สบายใจก็รายงานมายังตนได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่าย คงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่อยากให้เอาเรื่องของศักดิ์ศรีมาทำให้เป็นประเด็นปัญหา

ด้านนายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผอ.สพท.กาญจนบุรี เขต 4 ในฐานะนายกสมาคมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กล่าวว่า การย้ายนายสุรศักดิ์เป็นเรื่องการเสียศักดิ์ศรี เพราะไม่สอบถามความสมัครใจ และเหตุผลที่ให้ก็ไม่มีน้ำหนัก เวลานี้เพื่อนๆ ผอ.สพท.แสดงความไม่พอใจ และสงสัยว่านายสุรศักดิ์ผิดอะไร จึงให้ตนออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายสุรศักดิ์ ซึ่งวันที่ 21 ส.ค.นี้ นายชินภัทรจะไปราชการที่จ.กาญจนบุรี ตนจะยื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรมพร้อมให้ทบทวนคำสั่งดังกล่าว

คลอดผู้ปฏิบัติหน้าที่ผอ.เขตพื้นที่มัธยม

"ชินภััทร" ลงนามคำสั่งผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 41 ราย ...


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ลงนามคำสั่งสพฐ. ที่ 1155/2553 ให้ข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 41 ราย ดังนี้ นายวิทธยา บริบูรณ์ทรัพย์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ เขต 1 กรุงเทพมหานคร นายจารึก ศรีเลิศ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 3 นายกิจจา ชูประเสริฐ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 4 ว่าที่ ร.ต.ไพศาล ประทุมชาติ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 5 นายอำนาจ เดชสุภา ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 6 นายสมพงษ์ มะใบ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 7 นายประพัฒน์ คหินทรพงศ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 8 นายชาญชัย ทิพเนตร ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 9 ว่าที่ ร.ต.อุทิศ รุ่งธีระ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 10 นางประภาศรี อุยยามฐิติ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 11 นายสุจินต์ พิมเสน ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 12 นายสมพงษ์ แคนยุกต์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯเขต 13 น.ส.สดศรี ตันสุธัญลักษณ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 14 นายเทอดศักดิ์ ถาวรสุทธิ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 15

นายสัจจา ศรีเจริญ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 16 นายมาโนช กล้องเจริญ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 17 นายอภิสิทธิ์ รื่นจิตร ผอ. สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 18 นายโกศล บุญไชย ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 19 นายวัชรินทร์ ศรีบุรินทร์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 20 นายไพศาล นาคเสน ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 21 นายคมสิน ศรีมานะศักดิ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 22 นายสมชาย โสมรักษ์ ผอ. สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 23 นายเสน่ห์ คำสมหมาย ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 24 นายรังสรรค์ เถื่อนนาดี ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 25 นางชนิสรา ดวงบุปผา ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 26 นายชาตรี ชาปะวัง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 27 นายฤทธา นันทพันธ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 28 นายศรีสมบัติ ภูมิเขียว ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 29 นายวงษ์ชัย ชนะชัย ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 30

นายศิลปสิทธิ์ ทับทิมธงไชย ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 31 นายพิทยา ไชยมงคล ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 32 นายเลิศชาย สุขประเสริฐ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 33 นายประมวล พุทธานนท์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 34 นางจุรีย์ สร้อยเพชร ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 35 นายทวีศักดิ์ พิพัฒนาศักดิ์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 36 นายเสรี พิมพ์มาศ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 37 นายวิสิทธิ์ สุขเจริญ ผอ. สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 38 นางสุมนา พุ่มประพาฬ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 39 นายบุญส่ง ชุนแจ่ม ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 40 นายอำนวย อภิชาติตรากูล ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 41 และนางบุบผา เสนาวิน ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 42 นอกจากนี้ยังลงนามคำสั่ง สพฐ. ที่ 1154/2553 ให้นายปรีชา จิตรสิงห์ ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมฯ เขต 2 กรุงเทพฯ และมีคำสั่ง สพฐ. ที่ 1156/2553 ให้ข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่รอง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ อีก 41 ราย

หนุนมติคุรุสภาให้ยาแรงปรับปรุงคุณภาพผลิตครู

ยกเลิกให้การรับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตทางการศึกษา-การฝึกอบรมความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ กระทันหันหวั่นกระทบการผลิตครูสาขาขาดแคลน...


ตามที่คณะกรรมการคุรุสภา มีมติยกเลิกการให้การรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการศึกษา หรือ ป.บัณฑิตทางการศึกษา และยกเลิกการรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพนั้น รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มติดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาวิชาชีพครู ส่วนมติการยกเลิกการรับรองหลักสูตร ป.บัณฑิต จะส่งผลกระทบต่อการผลิตครูรุ่นใหม่หรือไม่นั้น หากไปดูความต้องการครูทั่วประเทศ ยังไม่ ถือว่าขาดแคลน อีกทั้งในปี 2554 จะผลิตครูตามโครงการครูพันธุ์ใหม่ได้อีกจำนวน 30,000 คน ดังนั้น เท่ากับว่าสถาบันผลิตครูยังพอมีปรับปรุงเรื่องคุณภาพ

ศ.ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข้อวิจารณ์ถึงการที่บางสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตร ป.บัณฑิตเพื่อธุรกิจมากกว่าจะคำนึงถึงคุณภาพ ซึ่งคุรุสภาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว จึงได้มีมติยกเลิกการให้การรับรองหลักสูตรดังกล่าว เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณอย่างแรงไปยังหลักสูตรอื่นๆ ให้ปรับปรุงเรื่องคุณภาพด้วย แต่มติดังกล่าวอาจจะกะทันหันเกินไป และส่งผลกระทบกับการผลิตครูสาขาขาดแคลน

เด็กไทยซิว 3 ทองคณิต

เด็กไทยเจ๋ง! ซิว 3 ทองแข่งขันคณิตศาสตร์ วิชาการระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังสอยมาได้อีก4 เหรียญเงิน 5 เหรียญทองแดง...


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิชาการระหว่างประเทศ หรือ International Mathematics Contest 2010 (IMC) ที่ประเทศสิงคโปร์ มีนักเรียนชั้น ป.3-ม.5 จากโรงเรียนกว่า 100 สถาบัน เข้าร่วม 999 คน ประกอบด้วยนักเรียนสิงคโปร์, เกาหลีใต้, อินเดีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเลเซีย รวมทั้งเด็กไทย 21 คน โดยการสนับสนุนของทีมวิชาการพระตะบอง

ผลปรากฏว่าเด็กไทยคว้าเหรียญรางวัลรวม 12 เหรียญ ประกอบด้วย 3 เหรียญทองจาก ด.ช.พชร เศวตมาลย์ ม.1 และด.ช.สิรภพ จิตรมีศิลป ม.1 จากร.ร. สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ด.ช.วรัชญ์ วีระนนท์ชัย ป.6 ร.ร.สยามสามไตร นอกจากนี้ยังได้ 4 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง

พระเอกหนังสมัยนี้ดีแต่บู๊ล้างผลาญ เป็นแบบ อย่างที่เลว

ที่ประชุมสมาคมนักจิตวิทยาอเมริกัน ได้รับรายงานว่า ยอดพระเอกของทุกวันนี้ ยังคงแสดงออกความเป็นผู้ชายแบบชายชาตรี ชอบใช้กำลังอย่างซ้ำๆ ซากๆ ให้กับพวกเด็กหนุ่มๆดู ผิดกับยอดพระเอกสมัยอดีตอย่างมากมาย ที่มักจะดูนุ่มนิ่มกว่ากัน

ศาสตราจารย์ชารอน แบมบ์ ซึ่งศึกษากับเด็กชายวัยระหว่าง 4-18 ปี 674 คน เพื่อจะรู้ว่าเด็กผู้ชายอ่านและดูทีวีกับภาพยนตร์อย่างไร

อาจารย์ชารอนแห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตต์กับคณะ ได้วิเคราะห์ชนิดของผู้ที่เป็นแบบอย่างของผู้ชาย ที่เด็กชายสมัยนี้ได้รู้ เห็นกันอยู่ กล่าวว่า แบบอย่างอีกแบบที่เหลือ ที่ปรากฏอยู่ตามสื่อมวลชน ก็เป็นแบบของคนเกียจคร้าน ที่ไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลย แบบอย่างของพระเอกสมัยนี้จึงมี 2 แบบ คือพระเอกแบบนักเลงกับพระเอกผู้เกียจคร้าน

พระเอกในภาพยนตร์และในหนังสือการ์ตูนสมัยก่อนกับสมัยนี้ก็ต่างกันมาก พระเอกสมัยนี้เหมือนกับพระเอกหนังเรื่องบู๊ล้างผลาญยิงฟันกันไม่เลิก วางตัวเป็นนักเลง พูดจากระทบ กระแทก และแทบไม่เคยเอ่ยถึงความเมตตาปรานีเลย ตอนไม่ได้บู๊ ก็ดีแต่แทะโลมผู้หญิง โอ้อวด และอวดสำแดงความเป็นลูกผู้ชายด้วยปืนแรงสูง "เด็กผู้ชายสมัยนี้ควรจะเอาอย่างพระเอกในหนังสือการ์ตูนสมัยก่อนยังจะดีเสียกว่า เพราะตอนอยู่นอกบทก็ยังเป็นคนธรรมดา รู้จักร้อนรู้จักหนาว และยังมีจุดอ่อนหลายอย่างอยู่".

Friday, August 20, 2010

เชียร์ออกกฎห้ามย้ายประถม-มัธยมข้ามสังกัด

นายวิทยา บริบูรณ์ทรัพย์ นายกสมาคมโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (สบมท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะเสนอเรื่องการกำหนดจัดตั้งเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเข้าพิจารณาในที่ประชุมสภาการศึกษา (สกศ.) ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ นั้น สบมท.ได้ให้ความเห็นไปแล้ว ว่า เขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ ควรมี 41 เขต โดยปรับศูนย์ประสานงานการจัดการมัธยมศึกษามาเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ เพราะได้มีการวางฐานไว้แล้วและไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ส่วนกรณีโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งสอนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.3 จะอยู่ในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ หรือ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นั้น เท่าที่ได้หารือกันในเบื้องต้น เห็นว่า โรงเรียนขยายโอกาสฯ ที่มีความพร้อมสามารถสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯได้ โดยการทำเรื่องไปที่ สพฐ.เพื่อประเมินความพร้อมก่อน ซึ่งจะพิจารณาจากจำนวนนักเรียนระดับมัธยมฯ ที่จะต้องมีจำนวนมากกว่าประถมฯ มีครูสอนครบชั้น และมีพื้นที่ของโรงเรียน 25 ไร่ขึ้นไป เป็นต้น สำหรับการโยกย้ายผู้บริหารสถานศึกษา นั้น ตนเห็นว่าไม่ควรให้มีการย้ายข้ามสังกัดเกิดขึ้น เพราะแต่ละสังกัดจะต้องมีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่ของตนเองขึ้นมาดูแลเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย อีกทั้งบริบทและวัฒนธรรมองค์กรก็แตกต่างกัน

นายเพิ่ม หลวงแก้ว ประธานสหพันธ์ผู้บริหารสถานศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนจะทำข้อเสนอไปยัง สกศ.ว่า การบริหารงานบุคลากรระหว่างประถมฯกับมัธยมฯ ทั้งในส่วน ผอ. สำนักงานเขตพื้นที่ฯ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู ควรแยกกันให้ชัดเจน หากจะเปิดช่องให้มีการเลื่อนไหลข้ามสังกัดได้ควรเป็นกรณีที่ไม่มีบุคลากรในสังกัดลงตำแหน่งแล้วเท่านั้น ส่วนการสังกัดของโรงเรียนขยายโอกาสฯนั้น หากพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่ได้หารือกันเบื้องต้น คงมีโรงเรียนขยายโอกาสฯไปอยู่ในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯน้อยมาก แล้วคุณภาพเด็ก ม.ต้น ที่อยู่ในโรงเรียนขยายโอกาสฯจะเป็นอย่างไร ซึ่งตนเห็นว่าควรให้โรงเรียนขยายโอกาสฯ ไปอยู่ในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯทั้งหมด หรือ ตั้งสำนักงานขยายโอกาสฯขึ้นมาดูแลโรงเรียนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

ครม. ขึ้นเงินเดือน ขรก. กำหนดฐานใหม่เท่าเอกชน

ครม.อนุมัติขึ้นเงินเดือนข้าราชการ พร้อมไฟเขียวก.พ.กำหนดฐานเงินเดือนแรกเข้าของข้าราชการใหม่ ให้ใกล้เคียงเอกชน มีผลบังคับใช้ เม.ย. 54

(16ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม. ได้เห็นชอบร่าง กฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน (ฉบับที่..) พ.ศ. ... ซึ่งในกฎดังกล่าว ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 50 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 โดยกฎ ก.พ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ 1. ให้ผู้ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส หรือเทียบเท่าระดับ 7 - 8 ได้รับเงินเดือนไม่เกิน 37,830 บาท หรือ ที่ก.พ.กำหนด สำหรับผู้ที่ได้รับเงินเดือนสูงนี้ ให้รับเงินเดือนตามที่รับอยู่

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า 2. ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือเทียบเท่าระดับ 10 - 11 ให้ได้รับเงินเดือนไม่เกิน 67,560 บาท หรือ ที่ก.พ.กำหนด สำหรับผู้ที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่านี้ ให้รับเงินเดือนตามที่ได้รับอยู่ และ 3. ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทสายงาน และระดับอื่นที่ ก.พ.กำหนดให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่ ก.พ.กำหนด

รองโฆษกสำนักนายกฯ แถลงด้วยว่า ครม. ได้เห็นชอบในหลักการเรื่องที่สำนักงาน ก.พ. เสนอให้มีการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการพลเรือนสามัญ เพื่อปรับฐานเงินเดือนของข้าราชการให้ทัดเทียมหรือใกล้เคียงกับภาคเอกชน และดึงข้าราชการที่มีความสามารถให้ทำงานให้กับหน่วยงานราชการ ทั้งนี้นายศุภชัย เปิดเผยภายหลังว่าหลังจากนี้ ทาง ก.พ.ต้องไปกำหนดหลักเกณฑ์การปรับฐานะเงินเดือนแรกเข้าของข้าราชการ โดยจะนำหลักเกณฑ์ของภาคเอกชนเป็นหลัก และพิจารณาฐานเงินเดือนให้เหมาะสมกับบุคคล ความสามารถและวุฒิการศึกษา เบื้องต้นข้าราชการที่บรรจุใหม่จะไม่ได้รับเงินเดือนที่เท่ากัน เช่น ผู้ที่จบจากสถาบันในต่างประเทศ มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาจะได้รับเงินเดือนแรกเข้าสูงกว่าผู้ที่จบจากสถาบันในประเทศ ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาเป็นต้น ทั้งนี้อัตราเงินเดือนแรกเข้าที่ไม่เท่ากันดังกล่าว จะต้องมีความต่างไม่เกินร้อยละ 10

รองโฆษกสำนักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับการพิจารณาฐานเงินเดือนแรกเข้า ทาง ก.พ.ได้กำหนดให้ปรับหลักเกณฑ์ใหม่ทุกๆ ปี ซึ่งในปีแรกของการปรับฐานเงินเดือนนั้น ก.พ.เป็นผู้กำหนด และหลังจากนั้นจะให้แต่ละหน่วยงานเป็นผู้พิจารณา สำหรับเป้าหมายการปรับฐานะเงินเดือนดังกล่าวได้ตั้งเป้าว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณเพื่อปรับฐานเงินเดือนแรกเข้าประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี ส่วนการปรับฐานเงินเดือนดังกล่าวกำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 54

ชงบอร์ดก.ค.ศ.อนุมัติ 24ส.ค. "โครงสร้างสพท.มัธยม-อัตรา"

นายเสน่ห์ ขาวโต รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า หลังจากสภาการศึกษาได้เห็นชอบในการกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 42 เขตนั้น ในส่วนของที่ตั้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้พิจารณาแล้ว ให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ตั้งอยู่ในจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของศูนย์ประสานงานการจัดการมัธยมศึกษาในปัจจุบัน ส่วนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กรุงเทพฯ จะใช้สำนักงานเดิมของศูนย์ประสานงานฯ ภายในบริเวณสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กรุงเทพมหานคร เขต 1 ส่วนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กรุงเทพฯ จะใช้อาคารสถานที่ภายในบริเวณของ สพท.กรุงเทพฯ เขต 2 เดิม สำหรับรายละเอียดของการบริหารงานบุคคล การกำหนดกรอบอัตรากำลัง การจัดโครงสร้างนั้น สพฐ.ได้เตรียมทำรายละเอียดไว้แล้ว เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาอนุมัติ จะใช้ระยะเวลาไม่นานในการดำเนินการเรื่องต่างๆ เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เดินหน้าไปได้

นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า ในวันที่ 24 สิงหาคม จะประชุม ก.ค.ศ.ซึ่งจะเสนอเรื่องการบริหารงานบุคคล การกำหนดกรอบอัตรากำลัง และโครงสร้างในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเข้าพิจารณาด้วย โดย ก.ค.ศ.จะนำแนวทางการเข้าสู่โครงสร้างใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในช่วงปี 2546 มาใช้เป็นแนวทางด้วย เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารงานบุคคล ที่จะต้องพิจารณาให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาภายหลังได้

ขรก.บรรจุใหม่เฮ 1 เม.ย.54 ก.พ.ปรับฐานเงินเดือนขึ้น5% เผยข้าราชการ ป.ตรีรับน้อยกว่า พนง.บริษัท83%

ขรก.บรรจุใหม่เฮ 1 เม.ย.54 ก.พ.ปรับฐานเงินเดือนขึ้น5% เผยข้าราชการจบ ป.ตรีรับน้อยกว่า พนง.บริษัท83%


นางเบญจวรรณ สร่างนิทร เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ให้สัมภาษณ์ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ถึงการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการพลเรือน ในวันที่ 1 ตุลาคม ภายใต้งบประมาณ 200 ล้านบาทว่า วงเงินดังกล่าวเกิดจากการประมาณการว่า จะมีผู้เกษียณอายุราชการ 3,000-4,000 ราย โดยแต่ละส่วนราชการจะทยอยบรรจุบุคคลเข้ารับราชการใหม่ ซึ่งอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่นี้จะเริ่มใช้กับบุคคลที่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเงินเดือนภาคราชการกับภาคเอกชน


นางเบญจวรรณกล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเงินเดือนแรกบรรจุระหว่างข้าราชการกับพนักงานบริษัทเอกชน พบว่า ผู้สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช. ที่เข้ารับราชการได้รับเงินเดือนต่ำกว่าภาคเอกชนร้อยละ 13 ระดับ ปวส.ได้รับเงินเดือนต่ำกว่าร้อยละ 6 ระดับปริญญาตรีต่ำกว่าร้อยละ 23-83 ระดับปริญญาโทต่ำกว่าร้อยละ 57-86 ก.พ.จึงตั้งเป้าลดความแตกต่างตรงนี้ลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อดูดดึงคนดีคนเก่งเข้ารับราชการ


"อย่างไรก็ตาม ก.พ.ตระหนักถึงความรู้สึกของข้าราชการรุ่นพี่ จึงได้ขยับอัตราเงินเดือนของบุคคลที่รับราชการอยู่ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้ข้าราชการรุ่นหลังมีอัตราเงินเดือนแซงหน้าข้าราชการรุ่นพี่ โดยฐานเงินเดือนที่จะขยับให้ก็อยู่ในงบประมาณ 200 ล้านบาทนี้แล้ว"


นางเบญจวรรณกล่าวว่า ขณะเดียวกัน ก.พ.จะกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการแบบช่วง โดยให้คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงพิจารณาเลือกปัจจัย 4 ข้อ จากเกณฑ์หลักของ ก.พ. 8 ข้อ เพื่อปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในวันที่ 1 เมษายน 2554 สำหรับปัจจัยหลักของ ก.พ. ได้แก่

1.มีคะแนนสอบเข้ารับราชการยอดเยี่ยม
2.มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ
3.มีประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการเข้ารับราชการ
4.มีใบประกอบวิชาชีพ
5.บรรจุเข้ารับราชการในสาขาขาดแคลน
6.มีผลงาน หรือได้รับรางวัลระดับชาติและนานาชาติ
7.มีวุฒิการศึกษามากกว่า 1 ใบ ซึ่งในสัปดาห์หน้า ก.พ.จะเชิญผู้แทนทุกส่วนราชการมาชี้แจงแนวทาง

"อย่างไรก็ตาม ก.พ.ได้กำหนดช่วงในการขยับฐานเงินเดือนแรกเข้าไว้ดังนี้ ในเดือนเมษายน 2554 ให้ขยับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุไม่เกินร้อยละ 3 เดือนตุลาคม 2554 ให้ปรับขึ้นอีกไม่เกินร้อยละ 6 จากนั้นในเดือนเมษายน 2555 ให้ปรับขึ้นอีกไม่เกินร้อยละ 10 ทั้งนี้ หากรัฐบาลให้ความสำคัญและมีนโยบายสนับสนุนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ข้าราชการก็จะมีโอกาสได้รับเงินเดือนแรกบรรจุใกล้เคียงกับภาคเอกชนมากขึ้น"


นางเบญจวรรณกล่าวว่า นอกจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุแล้ว ในวันที่ 1 เมษายน 2554 จะมีการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทุกประเภททั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ครู อัยการ ศาล รัฐสภา รวมถึงข้าราชการบำนาญ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ ร้อยละ 5 ภายใต้งบประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท แต่เป็นเพียงการปรับเพื่อรักษาระดับรายได้เท่านั้น เพราะในช่วงปี 2550-2552 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 4.5


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปรับโครงสร้างเงินเดือนครั้งนี้จะทำให้ข้าราชการมีลุ้นรับขึ้นเงินเดือนในวันที่ 1 เมษายน 2554 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11 โดยแบ่งเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนทั้งระบบในอัตราร้อยละ 5 และการปรับขึ้นเงินเดือนตามการประเมินผลการปฏิบัติราชการในรอบครึ่งปีงบประมาณ (เลื่อนขั้นเงินเดือน) สูงสุดที่ร้อยละ 6


ด้านนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการอีก 5% ว่า ไม่กระทบต่อแผนการจัดทำงบสมดุลใน 5 ปีข้างหน้าแต่อย่างใด เรื่องดังกล่าวได้บรรจุไว้ในงบประมาณปี 2554 แล้ว ซึ่งจะทำให้รายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยสำนักงบประมาณเองได้ประเมินว่าจากนี้ไปงบประมาณจะมีปัญหาขึ้นเรื่อยๆ จากสัดส่วนงบรายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลต้องหารายได้มาเพิ่มเติม ซึ่งไม่ใช่ปรับเพิ่มภาษีอย่างเดียว แต่ต้องหาแนวทางส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้ภาคธุรกิจมีรายได้เพิ่มและจะเสียภาษีให้กับรัฐบาลเพิ่มได้

ขอเชิญร่วมประกวดจิตรกรรมเยาวชน มูลนิธิโรคตับ ครั้งที่ 3

มูลนิธิโรคตับ ขอเชิญเยาวชนทั่วประเทศ ส่งผลงานเข้าประกวดจิตรกรรมเยาวชน รางวัล อังคาร กัลยาณพงศ์ ครั้งที่ 3 หัวข้อ “ตับอักเสบจากไขมัน หายได้พลัน ถ้าขยันออกกำลังกาย” ผู้ชนะการประกวดจะได้รับเกียรติบัตรและเงินรางวัลจากมือ ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ กวีและจิตรกรเอกแห่งยุคสมัย แบ่งการประกวดออกเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ ไม่เกิน 8 ปี 9-13 ปี และ 14-17 ปี ส่งผลงานระหว่างวันที่ 6 - 10 กันยายน 2553 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่มูลนิธิโรคตับ โทร.02-2612428 หรือ www.thailiverfoundation.org

คุณวรา จันทร์มณี กรรมการผู้จัดการมูลนิธิโรคตับ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อการประกวดว่า โรคตับเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C ทางเลือด การกินปลาดิบน้ำจืดแบบดิบๆ หรือปรุงไม่สุกซึ่งเป็นสาเหตุให้คนในภาคอีสานเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับมากที่สุดในโลก รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับ แต่ นอกจากสาเหตุที่กล่าวมา มีอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญ คือ ความอ้วน หรือการมีน้ำหนักเกิน การเป็นเบาหวาน หรือการมีไขมันในเลือดสูง ซึ่งเมื่อศึกษาดูแล้วพบว่า ผู้ที่มีภาวะเหล่านี้มีไขมันหรือไตรกลีเซอร์ไรด์สะสมในเซลล์ตับ อันเป็นสาเหตุให้มีการอักเสบของตับตามมา ซึ่งหากตับอักเสบต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดผังพืด มีโอกาสลุกลามเป็นตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด

ในอนาคตอันใกล้นี้ภาวะตับอักเสบจากไขมันในตับ จะเป็นปัญหาสำคัญของโรคตับ สาเหตุสำคัญคือ ขาดการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีความหวาน มัน มากเกินไป จนทำให้มีไขมันที่หน้าท้องหนา มีไขมันสะสมในช่องท้องและตับมากขึ้นจนเป็นตับอักเสบ เป็นสาเหตุให้ผู้ที่มีอาการดังกล่าว มีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นจากโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งในระบบต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคตับแข็งได้มากขึ้นตามลำดับ

การรักษาสุขภาพที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร และลดน้ำหนัก มีการศึกษาในหลายกรณีได้ผลตรงกันว่า การออกกำลังกายโดยเฉพาะแบบแอโรบิค เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ และปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สามารถทำให้ระบบการทำงานของตับดีขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าน้ำหนักจะยังไม่ลดก็ตาม
มูลนิธิโรคตับ จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง กล่าวคือ ผู้ที่มีเอวมากว่า 36 นิ้วในผู้ชาย และมากกว่า 34 นิ้วในผู้หญิง หรือผู้ที่มีขนาดเอวใกล้เคียงตัวเลขดังกล่าว โปรดอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท กรุณาเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน หันมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมากขึ้น และพยายามควบคุมน้ำหนัก น้ำตาล และไขมัน ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อที่จะทำให้ตับของเรามีสุขภาพแข็งแรงและอยู่กับเราได้ตลอดไป

กรรมการผู้จัดการมูลนิธิโรคตับ ทิ้งท้ายว่า ผมขอเชิญน้องๆ หนูๆ เยาวชน ระดับอายุไม่เกิน 8 ปี จนถึงอายุ 17ปี ทั่วประเทศ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งภาพ 2 มิติ ไม่จำกัดเทคนิค ขนาดประมาณ 15X22 นิ้ว ไม่รวมกรอบ เข้าประกวด ด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ที่ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 6 ถึงวันศุกร์ที่ 10 กันยายนนี้ โรงเรียนที่มีผลงานส่งเข้าประกวดจะได้รับเกียรติบัตรในฐานะผู้สนับสนุนงานศิลปะ และนักเรียนที่ชนะการประกวดจะได้รับเกียรติบัตรพร้อมเงินรางวัล จากมือ ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ โดยตรง และยังจะได้แสดงผลงานที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 4 -14 พฤศจิกายน 2553 นี้

จัดประกวดไอเดียพัฒนาประเทศชิง 1 แสน

สืบเนื่องจากโครงการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อระดมความมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้นจึงจับมือกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคม จัดโครงการ ไอเดีย...ประเทศไทย ( Ideas for Thailand ) เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมไทย เป็นสื่อกลางระหว่างภาครัฐที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติ โดยการส่งผ่านความเห็นเพื่อพลิกโฉมการพัฒนาประเทศ โครงการนี้จะเป็นสื่อกลางรวบรวมความเห็นของประชน แล้วเปิดช่องทางให้ประชาชนได้คัดกรองความเห็นที่ชื่นชอบที่สุด เพื่อพัฒนาให้เป็นนโยบายในการพัฒนาประเทศไทยต่อไป ถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยทุกภาคส่วนของประเทศอย่างพร้อมเพรียงกัน เพราะการพัฒนาประเทศไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงาน หรือ องค์กรใดองค์กรหนึ่ง หากแต่เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน

โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากสถาบัน ChangeFusion ธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ศูนย์ไอซีทีชุมชม เป็นหน่วยช่วยระดมความเห็น สำหรับช่องทางจัดส่งไอเดียประกอบด้วย

1. เว็บไซต์ www.pm.go.th/ideasforthailand และ www.ideas.in.th
2.ตู้ปณ 123 ปณศ จตุจักร กรุงเทพ 10900
3.เครือสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน
4.เคาเตอร์ ธกส. และ
5. ศูนย์ไอซีทีชุมชมที่ครอบคลุมทุกจังหวัด

ทั้งนี้ประชาชนที่สนใจส่งไอเดียจนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้

จากนั้นจะคัดเลือกเหลือ 50 ไอเดีย เพื่อให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของไอเดียได้แสดงรายละเอียดภายในงาน “ไอเดีย เฟสติวัล” (Ideas Festival) และจะคัดเลือกให้เหลือ 20 ไอเดีย โดยคณะกรรมผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ประชาชนร่วมโหวตผ่าน เว็บไซต์ www.pm.go.th/ideasforthailand และ www.ideas.in.th/ideasforthailand โดยจะติดตามรายละเอียดไอเดียทั้งหมดผ่านรายการ ไอเดีย..ประเทศ ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 ไอเดียที่ได้รับการโหวตมากที่สุด 5 ไอเดียสุดท้าย จะได้รับเงินสนับสนุนในการวิจัยเบื้องต้น 1 แสนบาท เพื่อนำไปพัฒนาสู่แผนการพัฒนาสังคมระยะต่อไป ทั้งนี้หากมีองค์กรใดให้ความสนใจ ทั้ง 50 ไอเดียก็นำมาปรับให้เป็นโครงการที่นำไปปฏิบัติจริงได้

ธัญบุรีปลื้มได้TQFก่อนเพื่อน

ผศ.ธนา เหมวงษา คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี กล่าวว่า ขณะนี้คณะศิลปกรรมศาสตร์ ได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตรตามมาตรฐาน Thai Qualifi cations Framework for Higher Education (TQF) หรือ กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (มคอ.) ครบ 100% ทั้ง 12 สาขาวิชาแล้ว โดยการจัดทำมาตรฐาน TQF นี้ เป็นไปตามนโยบายของ มหาวิทยาลัยที่ต้องการให้ทุกหลักสูตรใน มทร.ธัญบุรี ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งคณะศิลปกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ถือเป็นคณะศิลปกรรมศาสตร์แรกของประเทศที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าว โดยได้เริ่มใช้ตั้งแต่ภาคเรียน 1/2553

“ทำหลักสูตรตามมาตรฐาน TQF เป็นการประกันว่า นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรนั้น ๆ จะได้รับความรู้ครบถ้วนตามกระบวนการเรียนการสอนของหลักสูตร ซึ่ง TQF เปรียบเหมือนคู่มือของอาจารย์ในการสอนแต่ละรายวิชา เพราะเป็นการวางแนวทางการสอนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และที่ทางคณะศิลปกรรมศาสตร์เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ สกอ.กำหนด ประกอบกับกลุ่มประเทศอาเซียนเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และมีการทำมาตรฐานนี้เช่นกัน ที่สำคัญการพัฒนาหลักสูตรในอนาคตก็จำเป็นต้องยึดมาตรฐาน TQF เป็นหลัก เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับอาเซียน” ผศ.ธนากล่าว.

เผยแยกประถมฯ-มัธยมฯเริ่มไม่สวย

เก้าอี้ไม่ลงตัวเด้งผอ.สพท.เดินเข้ากรุ

นายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กาญจนบุรี เขต 4 ฐานะนายกสมาคม ผอ.สพท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำลังเกิดความแตกแยกระหว่างผู้บริหารประถมฯและมัธยมฯ เนื่องจาก ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้มีคำสั่ง สพฐ. ที่ 1153/2553 ให้นายสุรศักดิ์ ศรีสว่างรัตน์ ผอ.สพท.กรุงเทพมหานคร เขต 3 ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ. โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยทราบว่า เพื่อเปิดทางให้ นายวิทธยา บริบูรณ์ทรัพย์ ผอ.โรงเรียนโยธินบูรณะ ไปรักษาการ ผอ.สพท.มัธยมฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะนายสุรศักดิ์ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผอ.สพท.ก็มาจาก ผอ.สามัญศึกษาจังหวัด ซึ่งเป็นคนจากซีกมัธยมฯเหมือนกันจึงควรให้รักษาการ ผอ.สพท. มัธยมฯต่อไปได้ ดังนั้นในฐานะนายกสมาคมฯตนจึงยอมไม่ได้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรี โดยตนเข้าพบ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการเพื่อขอความเป็นธรรมและขอให้มีการทบทวนคำสั่งดังกล่าว รวมทั้งจะขอให้ ดร.ชินภัทร ชี้แจงเหตุผลด้วย

ด้าน นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องก็รู้สึกงงและตกใจมาก เพราะกรุงเทพมหานครมีอยู่ 3 เขต ก็น่าจะให้คนเก่าทั้ง 3 คนรักษาการในตำแหน่งต่อไปได้ ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่ย้ายตนไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ อยากให้ผู้ใหญ่ทบทวนคำสั่งและดูแลขวัญและกำลังใจข้าราชการด้วย.

ยันม.ศิลปากรไม่งุบงิบซื้อตึกวัฏจักร370ล

อธิการบดียอมรับถูกกดดันให้เร่งซื้อ

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. เวลา 13.00 น. ได้มีการประชุมสภามหาวิทยาลัยศิลปากร วาระด่วน เรื่องลับเกี่ยวกับการประเมินผลงานอธิการบดี โดยมีคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ นายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นประธาน ซึ่งภายหลังการประชุมกว่า 3 ชั่วโมง ดร.อุทัย ดุลยเกษม อธิการบดี เปิดเผยว่า ตนทราบมติว่าไม่สามารถขับไล่ตนได้ เนื่องจากขัดระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และการประเมินผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ที่กำหนดให้สภามหาวิทยาลัยต้องให้ข้อเสนอแนะแก่อธิการบดีเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อน หากไม่มีการปรับปรุงแก้ไขจึงจะถือว่าไม่ผ่านการประเมิน ในขณะที่การประชุมครั้งนี้เพื่อประเมินผลการทำงานครบรอบ 2 ปีของตน อย่างไรก็ตามมีความพยายามที่จะให้ตนไม่ผ่านการประเมิน เพื่อโยงกับการยกเลิกสัญญาจ้าง ซึ่งตนเชื่อว่ามีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่พอใจ และน่าจะเชื่อมโยงกับกรณีใบปลิวเรื่องการจัดซื้อตึกวัฏจักร มูลค่า 370 ล้านบาท ที่ตนยังไม่ยอม อนุมัติ และหลังจากนี้สภามหาวิทยาลัยจะต้องส่งข้อเสนอแนะปรับปรุงการดำเนินงานมาให้ตนว่าจะต้องทำอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งและจะมีการร้องเรียนหรือไม่ ดร.อุทัย กล่าวว่า ต้องขอดูก่อนและรอให้เกิดความชัดเจนว่าเกิดเรื่องไม่เป็นธรรม จึงจะร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ศ.ดร.อุทัย กล่าวอีกว่า เรื่องการจัดซื้อที่ดินและตึกวัฏจักรได้ดำเนินการโดยผ่านสภามหาวิทยาลัยแล้ว 2 ครั้ง แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้ยังไม่ยุติ และยังไม่ได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะต้องไปศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อีก เช่น ราคาที่หลายฝ่ายยังเห็นว่าแพงเกินไป หรือสภาพตึกมีมาตรฐานหรือไม่เพราะร้างมานาน ดังนั้นตนต้องดูให้ละเอียด รอบคอบ และเงินที่ใช้ก็เป็นเงินหลวงด้วย แต่ที่ผ่านมามีผู้ที่เห็นด้วยพยายามกดดันให้ตนอนุมัติ โดยอ้างว่าคนขายเร่ง และอยากให้รีบซื้อเพื่อรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย แต่ส่วนตัวเห็นว่าทุกอย่างไม่ต้องรีบขอให้ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นประโยชน์มากที่สุด สำหรับการชี้แจงต่อประชาคมนั้นตนก็ยินดี แต่ขอดูรายละเอียดก่อนว่าจะให้ชี้แจงเรื่องอะไรบ้าง

ด้าน คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ นายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงกรณีที่มีใบปลิวระบุว่าสภามหาวิทยาลัยอนุมัติจัดซื้อที่ดินและตึกวัฏจักรย่านตลิ่งชันโดยไม่ชอบมาพากล เนื่องจากในวันประชุมไม่มีการถ่ายทอดสดให้ประชาคมรับทราบตามปกติว่า สภามหาวิทยาลัยมอบให้ ศ.ดร.อุทัย ดุลยเกษม อธิการบดี ทำเอกสารชี้แจงแก่ประชาคมอย่างเป็นทางการเรื่องการจัดซื้อตึกวัฏจักร ซึ่งตนยืนยันว่าการจัดซื้อมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและรัดกุม ไม่ได้มีการปิดบัง อีกทั้งรายงานการประชุมสภา ก็ไม่ได้เป็นความลับ ส่วนที่ไม่ได้มีการถ่ายทอดสด เนื่องจากที่ผ่านมาสภามหาวิทยาลัยเพิ่งมีมติว่าจะทำแบบสอบถามประชาคมเรื่องการถ่ายทอดสดการประชุมว่าดีหรือไม่อย่างไร จึงงดการถ่ายทอดไว้ก่อน และพอดีกับมีเรื่องการซื้อตึกวัฏจักร ทางผู้ทำใบปลิวคงนำ 2 เรื่องมารวมกันจึงนำไปสู่การเข้าใจผิด.

คุมคุณภาพไม่ได้คุรุสภาเลิกรับรองป.บัณฑิต

ดร.ดิเรก พรสีมา ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ว่า บอร์ดคุรุสภามีมติยกเลิกการให้การรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการศึกษา หรือ ป.บัณฑิตทางการศึกษา และยกเลิกการรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นสถาบันการศึกษาที่คุรุสภาเคยให้การรับรองหลักสูตรไปแล้ว ก็จะถูกยกเลิกและไม่ให้เปิดรับนักศึกษารุ่นใหม่อีก แต่มติดังกล่าวจะไม่กระทบกับนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งในการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของผู้จบจากหลักสูตร ป.บัณฑิต คุรุสภา จะพิจารณาจากวันลงทะเบียนเรียนประกอบด้วย ส่วนกรณีของสถาบันอาชีวศึกษาหรือวิทยาลัยอื่น ๆ ที่ จำเป็นต้องใช้ครูซึ่งไม่จบทางการศึกษา เช่น ครูช่าง ต่าง ๆ ซึ่งต้องได้รับการอบรมเพิ่มเติมนั้น คุรุสภา จะประสานกับหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อประสานกับสถาบันการศึกษาในการจัดอบรมให้เป็นกรณีไป สำหรับเหตุผลที่ต้องยกเลิกการรับรองดังกล่าว เนื่องจากไม่สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตบัณฑิตของแต่ละสถาบันได้ เพราะบางสถาบันไม่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่ได้รับการรับรอง อีกทั้งขณะนี้จำนวนผู้จบทางการศึกษา และมีใบอนุญาตฯ ครูก็มีมากเพียงพอ ประกอบกับผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหาสารคามก็ระบุว่า คุณภาพของผู้ที่จบจากหลักสูตร ป.บัณฑิตต่ำกว่าผู้ที่จบจากหลักสูตร 5 ปี ด้วย

ประธานคณะกรรมการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้ปรับปรุงมาตรฐานวิชาชีพครู และผู้บริหารการศึกษา โดยเพิ่มมาตรฐานความรู้ในวิชาที่ครูจะสอนเข้าไปอีก 1 มาตรฐาน เช่น สอนในระดับปฐมวัย จะเน้นจิตวิทยาสำหรับครูปฐมวัย สอนระดับประถมศึกษา เพิ่มเทคนิควิธีการสอนในแต่ละกลุ่มสาระ ส่วนระดับมัธยมศึกษาเพิ่มความรู้ในเนื้อหาวิชาที่ครูสอน เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา โดยใบอนุญาตฯที่จะออกให้แก่ครูจะเปลี่ยนตามมาตรฐานที่กำหนดจากเดิมใบอนุญาตฯ 1 ใบสอนได้ทุกวิชา เป็นใบอนุญาตฯ ที่สอนในแต่ละระดับ แต่ละวิชา เช่น ใบอนุญาตฯสอนระดับปฐมวัย ประถมศึกษา เมื่อถึงระดับมัธยมศึกษาก็จะมีการแยกใบอนุญาตฯตามกลุ่มสาระ ส่วนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็จะแยกย่อยเป็นรายวิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นต้น สำหรับครูช่างก็จะแยกตามสาขาวิชาที่สอนเช่นกัน

ดร.ดิเรก กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงการขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตฯใหม่ จากปัจจุบันหากสถาบันใดคุรุสภาให้การรับรองหลักสูตรครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์แล้ว เมื่อบัณฑิตจบมาและมาขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตฯ คุรุสภาก็จะตรวจสอบและออกใบอนุญาตฯให้ แต่ต่อไป ผู้ขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตฯทุกคนจะต้องเข้าทดสอบโดยทำข้อสอบของคุรุสภา หากได้คะแนน ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก็ได้รับใบอนุญาตฯ แต่หากได้คะแนนต่ำกว่าที่กำหนดก็สามารถมาสอบใหม่ได้ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าอาจจะจัดสอบปีละ 1-3 ครั้ง โดยเปิดให้นักศึกษาที่กำลังอยู่ชั้นปีที่ 3 มาสอบได้เลย ซึ่งข้อสอบนั้นคุรุสภาจะมอบให้สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ และคัดข้อสอบที่ดีที่สุดใส่ไว้ในคลังข้อสอบและให้สามารถเข้าทดสอบผ่านระบบออนไลน์ได้ โดย รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ประธานสภาคณบดีฯได้รับดำเนินการ โดยจะพัฒนาข้อสอบให้แล้วเสร็จในปี 2554 และนำร่องทดสอบในปี 2555 ส่วนการออกใบอนุญาตฯ ตามหลักเกณฑ์ใหม่คาดว่าจะเริ่มได้อย่างช้าในปี 2557 ส่วนครูเก่าที่จะขอต่อใบอนุญาตฯนั้น ไม่ต้องเข้าทดสอบ แต่ต้องผ่านการฝึกอบรมในวิชาที่สอนตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภาจะกำหนดต่อไป.

เตรียมจัดประชุมวางกรอบTQFนิเทศศาสตร์

นิเทศศาสตร์ทั่วประเทศ เตรียมจัดประชุมเชิงปฎิบัติการ “จัดทำ มคอ. 1ของนิเทศศาสตร์ประเทศไทย” ระบุมหาวิทยาลัยเปิดสาขานิเทศศาสตร์อื้อ แต่มาตรฐานกลับกระจัดกระจาย หวังพัฒนามาตรฐานของการผลิตบัณฑิตสาขานิเทศศาสตร์เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ

(19ส.ค.) รศ.ดร.กมลรัฐ อินทรทัศน์ ประธานกรรมการประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) เปิดเผยว่าตามที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้ประกาศเรื่อง กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (มคอ.)หรือTQF พ.ศ. 2552 และ สกอ.ได้ประกาศเรื่อง แนวทางการปฏิบัติตามกรอบมาตรฐาน ดังกล่าว ซึ่งเริ่มใช้กับหลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2553 และหลักสูตรเดิมต้องปรับปรุงภายในปีการศึกษา 2555 และสำหรับหลักสูตรปริญญาตรี จำเป็นต้องปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานผลการเรียนรู้ หรือคุณลักษณะของบัณฑิต 5 ด้าน ได้แก่ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาปริญญาตรีมีความรู้ความสามารถตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ประธานกรรมการประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มสธ. กล่าวต่อว่า สาขาวิชานิเทศศาสตร์ ร่วมกับสำนักวิชาการ และสมาคมวิชาการนิเทศศาสตร์และการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรนิเทศศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ "การจัดทำ มคอ. 1ของนิเทศศาสตร์ประเทศไทย" ขึ้น เพื่อเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและพัฒนามาตรฐานของการผลิตบัณฑิตสาขานิเทศศาสตร์ในอนาคต ในวันศุกร์ที่ 20 ส.ค.2553 ที่ห้องประชุมอาคารเอนกนิทัศน์ ห้อง 3 ศร มสธ. ขึ้น

“สาขานิเทศศาสตร์ มสธ.เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ที่เป็นผู้ริเริ่มในการจัดทำ มคอ.1 ของนิเทศศาสตร์ประเทศไทย เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานหลักสูตรนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทั่วประเทศให้มีมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจากปัจจุบันสาขานิเทศศาสตร์ มีการเปิดการเรียนการสอนเกือบทุกมหาวิทยาลัย ทั้งในส่วนของม.รัฐ เอกชน มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาวิทยาลัยราชมงคล ทำให้มาตรฐานของหลักสูตรกระจัดกระจาย การประชุมครั้งนี้ จึงเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของทุกๆ มหาวิทยาลัยที่เปิดการสอนสาขานิเทศศาสตร์ เพื่อจัดทำเป็นกรอบมาตรฐานที่ทุกมหาวิทยาลัยต้องดำเนินการจัดการเรียนการสอนให้ตรงตามกรอบที่กำหนดไว้ ”รศ.ดร.กมลรัฐ กล่าว

อย่างไรก็ตาม กรอบมคอ.1 สาขานิเทศศาสตร์ นี้ จะเป็นเพียงแม่บทที่แต่ละมหาวิทยาลัยสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเอกลักษณ์ ภารกิจของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งเชื่อว่าเมื่อมีการประกาศใช้ จะไม่เกิดปัญหาทวงติงแน่นอน ทั้งนี้ ข้อสรุปจากการประชุมในครั้งนี้ ทางสาขานิเทศศาสตร์ จะรวบรวมกำหนดเป็นกรอบมคอ.1 ของสาขานิเทศศาสตร์ เพื่อนำเสนอต่อสกอ.ต่อไป

สพฐ.จัดโรงเรียนลงเขตพื้นที่มัธยม-ประถม

สพฐ.เร่งจัดโรงเรียนลงเขตพื้นที่การศึกษาประถม-มัธยม หลังสกศ.ไฟเขียวเขตพื้นที่มัธยม 42 เขตและเขตพื้นที่ประถม183 เขต ไฟเขียว 4 โรงเรียนที่เคยสังกัดกรมสามัญโอนมาอยู่เขตพื้นที่มัธยมฯ ส่วนโรงเรียนก้ำกึ่งสอนประถม-มัธยม 13 แห่งขอมาสังกัดเขตพื้นที่มัธยม ตั้งคณะกรรมการจัดทำเกณฑ์พิจารณา ด้าน นายกสมาคมผอ.สพท.แฉโยกย้ายสร้างปมขัดแย้ง กรรมการกกศ.เตือนอย่าติดกับโครงสร้าง-การบริหารจนลืมคุณภาพการศึกษา

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2553 ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยผลประชุมกพฐ. เมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีการเสนอให้ที่ประชุมได้รับทราบกรณีการประกาศเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ซึ่งที่ประชุมสภาการศึกษาได้กำหนดให้มีเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ 42เขตและเขตพื้นที่การศึกษาประถมฯ 183 เขต และขั้นตอนต่อไปเมื่อมีการประกาศจัดตั้งเขตพื้นที่ฯดังกล่าวลงในราชกิจจานุเบกษาแล้วจะต้องดำเนินการจัดตั้งเขตพื้นที่โดยกำหนดให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ลงในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯและประถมตามลำดับต่อไป ซึ่งการจะให้โรงเรียนใดสังกัดในเขตพื้นที่ไหนนั้นจะยึดสังกัดเดิมของโรงเรียน โดยกำหนดให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ(สปช.)เดิมจะให้สังกัดเขตพื้นที่ประถมฯ และโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาเดิมให้สังกัดเขตพื้นที่มัธยมฯ

”โรงเรียนที่มีความก้ำกึ่งเพราะเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนระดับประถมและมัธยม เช่น โรงเรียนขยายโอกาสนั้น สพฐ.ได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาพิจารณาหลักเกณฑ์การให้มาสังกัดเขตพื้นที่มัธยมฯ เช่น ระยะทางห่างจากโรงเรียนมัธยมอื่นไม่น้อยกว่า 8 กิโลเมตร มีเนื้อที่ไม่น้อยกว่า 25 ไร่ เป็นต้น โดยก่อนหน้านี้สพฐ.ได้ให้โรงเรียนกลุ่มดังกล่าวที่ต้องการไปสังกัดเขตพื้นที่มัธยมฯแจ้งความจำนงมาที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแล้วและพบว่ามีจำนวน 13 แห่งที่แจ้งเข้ามา ซึ่งที่ประชุมกพฐ.ได้พิจารณาอนุมัติให้ไปสังกัดเขตพื้นที่มัธยมฯ 1 แห่งคือโรงเรียนวัดคลองสน อ.เกาะช้าง จ.ตราด ซึ่งเปิดสอนระดับประถมถึงม.ปลาย ส่วนโรงเรียนที่ไม่ได้รับการอนุมัตินั้นมี 6 แห่งที่ไม่ผ่านเกณฑ์พื้นฐานที่กำหนด อีก 6 แห่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้แต่ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเขตพื้นที่ฯ อย่างไรก็ตาม โรงเรียนที่ไม่ได้รับการอนุมัตินั้นนำกลับไปทบทวนและนำเสนอให้ที่ประชุมกพฐ.พิจารณาอีกได้” ดร.ชินภัทร กล่าว

เลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมกพฐ.ยังเห็นชอบให้โรงเรียนที่สังกัดกรมสามัญศึกษาเดิมมาก่อนแต่จำเป็นต้องเปิดสอนระดับประถมให้มาสังกัดเขตพื้นที่มัธยมฯได้แก่ โรงเรียนพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา โรงเรียนภปร.ราชวิทยาลัย จ.นครปฐม โรงเรียนเกาะสีชัง จ.ชลบุรี และโรงเรียนวรราชทินัดดามาตุวิทยา จ.ปทุมธานี ทั้งนี้กรณีโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนขยายโอกาสนั้นเมื่อมาสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯจะต้องส่งเสริมให้มีความพร้อมมากขึ้นในการสอนระดับมัธยม การเสริมทางด้านวิชาการ โดยเขตพื้นที่มัธยมฯต้องเข้ามาดูแล ส่วนโรงเรียนที่ยังสังกัดเขตพื้นที่ประถมฯนั้นก็คงไม่กระทบต่อคุณภาพอะไร อย่างไรก็ตามที่ประชุมกพฐ.ได้แสดงความห่วงใยว่าเมื่อมีการแยกเขตพื้นที่การศึกษาประถมฯและมัธยมฯแล้วจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาหรือไม่ โดยตนได้ชี้แจงว่าการแบ่งเขตพื้นที่เป็นการแบ่งในเชิงการบริหารงานเพื่อให้การงบประมาณ การบริหารงานบุคคล มีความชัดเจนและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคุณภาพผู้เรียน ซึ่งงานวิชาการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯก็ยังต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียนประถมศึกษาเหมือนเดิมรวมทั้งการทำหน้าที่ของศึกษานิเทศก์ของเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯด้วย

นายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(ผอ.สพท.)กาญจนบุรี เขต 4 ในฐานะนายกสมาคมผอ.สพท. กล่าวว่า ขณะนี้ สพฐ.กำลังเกิดความแตกแยกระหว่างประถมและมัธยม เนื่องจากดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีคำสั่ง สพฐ. ที่ 1153/2553 ให้นายสุรศักดิ์ ศรีสว่างรัตน์ ผอ.สพท.กรุงเทพมหานคร เขต 3 ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ. โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา และทราบว่าเพื่อเปิดทางให้ นายวิทธยา บริบูรณ์ทรัพย์ ผอ.โรงเรียนโยธินบูรณะ มารักษาการผอ.เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา

”เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นผอ.เขตพื้นที่เดิมและมาจากผอ.สามัญศึกษาจังหวัด ควรจะให้รักษาการผอ.เขตพื้นที่มัธยมฯต่อไปได้ ในฐานะนายกสมาคมฯผมยอมไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรี ทั้งนี้จะเดินทางเข้าพบรมว.ศึกษาธิการเพื่อขอความเป็นธรรมให้ทบทวนคำสั่ง รวมทั้งจะขอให้เลขาธิการกพฐ.ชี้แจงเหตุผลด้วย"นายธวัชชัย กล่าว

นายสุรศักดิ์ ศรีสว่างรัตน์ ผอ.สพท.กรุงเทพมหานคร เขต 3 กล่าวว่า เพิ่งทราบเรื่องรู้สึกงงและตกใจมาก เพราะกรุงเทพฯก็มี 3 เขตอยู่แล้ว ก็น่าจะให้คนเก่าทั้ง 3 คนรักษาการในตำแหน่งต่อไปได้ ซึ่งไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่ย้ายตนไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ อยากให้ผู้ใหญ่ทบทวนคำสั่งและดูแลขวัญและกำลังใจข้าราชการด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายเสน่ห์ ขาวโต รองเลขาธิการ กพฐ.ได้โทรศัพท์ไปแจ้งต่อนายสุรศักดิ์ว่าจะให้มารับตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญใน สพฐ.ได้หรือไม่ เพื่อจะให้นายวิทธยามารักษาการผอ.เขตพื้นที่การศึกษามัธยม โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงไม่สามารถให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาเดิมรักษาการต่อไป ซึ่งก็มีเพียงนายสุรศักดิ์เพียงคนเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการจัดตั้งเขตพื้นที่การศึกษามัธยมฯ

ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์(มธบ.) ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภาการศึกษา(สกศ.) กล่าวว่า น่าเป็นห่วงว่าการจัดตั้งเขตพื้นที่มัธยมจะติดกับดักงานเชิงธุรการทั้งเรื่องโครงสร้าง การบริหารจัดการบุคลากร ฯลฯ เหมือนที่ผ่านมา โดยไม่ได้เน้นเรื่องคุณภาพการศึกษาซึ่งเป็นเป้าหมายในการจัดตั้งเขตพื้นที่มัธยมศึกษา ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการ สกศ.ที่ผ่านมา มีการพูดถึงเรื่องนี้น้อยมาก จึงฝากสพฐ.ด้วย

คุรุสภายกเลิกผลิตหลักสูตร ป.บัณฑิต

ยันมติดังกล่าวจะไม่กระทบกับนักศึกษา ส่วนกรณี สถาบันอาชีวศึกษาหรือวิทยาลัยอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ครูซึ่งไม่จบทางการศึกษา จะประสานกับหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อประสานสถาบันการศึกษาจัดอบรมให้เป็นกรณีๆ.....

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ดร.ดิเรก พรสีมา ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการคุรุสภาว่า ที่ประชุมมีมติยกเลิกการให้การรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการศึกษา หรือ ป.บัณฑิตทางการศึกษา และยกเลิกการรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.เป็นต้นไป ดังนั้น สถาบันการศึกษาที่คุรุสภาเคยให้การรับรองหลักสูตรไปแล้ว ก็จะถูกยกเลิกและไม่ให้เปิดรับนักศึกษารุ่นใหม่ อีก แต่มติดังกล่าวจะไม่กระทบกับนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ ส่วนกรณี สถาบันอาชีวศึกษาหรือวิทยาลัยอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้ครูซึ่งไม่จบทางการศึกษา เช่นครูช่างต่างๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการอบรมเพิ่มเติมนั้น คุรุสภาจะประสานกับหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อประสานสถาบันการศึกษาจัดอบรมให้เป็นกรณีๆ การยกเลิกเนื่องจากไม่สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตบัณฑิตของแต่ละสถาบันได้ อีกทั้งขณะนี้มีผู้จบทางการศึกษาและมีใบอนุญาตครูเพียงพอ

ดร.ดิเรกกล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีมติให้ปรับปรุงมาตรฐานวิชาชีพครู และผู้บริหารการศึกษา โดยเพิ่มมาตรฐานความรู้ในวิชาที่ครูจะสอนเข้าไปอีก 1 มาตรฐาน เช่น สอนระดับปฐมวัย จะเน้นจิตวิทยา สอนระดับประถมศึกษา เพิ่มเทคนิควิธีการสอนในแต่ละกลุ่มสาระ ส่วนระดับมัธยมศึกษา เพิ่มความรู้ในเนื้อหาวิชาที่ครูสอน โดยใบอนุญาตที่จะออกให้แก่ครูจะเปลี่ยนตามมาตรฐานที่กำหนดจากเดิมใบอนุญาต 1 ใบ สอนได้ทุกวิชา เป็นใบอนุญาตที่สอนในแต่ละระดับแต่ละวิชา นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้ปรับปรุงการขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตใหม่ จากนี้ทุกคนจะต้องเข้าทดสอบ โดยทำข้อสอบของคุรุสภาซึ่งจะจัดสอบปีละ 1-3 ครั้ง และเปิดให้นักศึกษาปีที่ 3 มาสอบได้ คาดว่าจะนำร่องได้ในปี 2555.

สธ.จับมืออนามัยโลก ยกระดับสุขภาพคนไทย

โดยกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรหลักด้านสุขภาพทุกแห่ง ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก ดำเนินการแก้ไขและพัฒนาสุขภาพคนไทยอย่างเป็นระบบและเกิดความยั่งยืน ครอบคลุมปัญหาระดับประเทศ......

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการประชุมความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกและประเทศไทย ในการดำเนินการความร่วมมือระดับประเทศเพื่อการพัฒนาสุขภาพคนไทย พ.ศ.2555-2558ว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรหลักด้านสุขภาพทุกแห่ง ร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก ดำเนินการแก้ไขและพัฒนาสุขภาพคนไทยอย่างเป็นระบบและเกิดความยั่งยืน ครอบคลุมปัญหาระดับประเทศ โดยในระยะแรกจะมุ่งเน้นการดำเนินงานใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาระบบสุขภาพระดับชุมชนและสาธารณสุขมูลฐาน 2.การพัฒนาเครือข่ายการควบคุมปัจจัยเสี่ยงและโรคไม่ติดต่อ 3.การพัฒนาความสอดคล้องระหว่างนโยบายการค้าระหว่างประเทศและนโยบายสุขภาพ 4.การพัฒนาระบบการเตรียมความพร้อมรับมือพิบัติภัย และ5.การพัฒนาระบบสร้างความปลอดภัยทางถนน การดำเนินงานในระยะแรกจะเป็นเวลา 4 ปี ระหว่างพ.ศ. 2555-2558

ด้านดร.มัวรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า รู้สึกชื่นชมความก้าวหน้าในการพัฒนาการสาธารณสุของประเทศไทย และมองเห็นว่าขณะนี้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง (middle income country) ซึ่งมีศักยภาพทางด้านการสาธารณสุขสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน รูปแบบความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีองค์กรหลักด้านสุขภาพใหม่ๆ ที่จะหนุนเสริมงานด้านสาธารณสุขของรัฐ และมีทรัพยากรด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกจึงไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะเงินงบประมาณจาก องค์การอนามัยโลก ซึ่งคิดเป็นเพียงไม่ถึงร้อยละ 0.2 ของงบประมาณด้านสุขภาพของไทย และเน้นเฉพาะความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น แต่ควรเน้นการใช้ทุนทางปัญญาและทุนทางสังคม ซึ่งองค์การอนามัยโลกมีอยู่อย่างมากมาย มาร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรด้านสุขภาพที่นำโดยกระทรวงสาธารณสุข มาช่วยแก้ปัญหาสุขภาพคนไทย

ร้อง"ชินวรณ์"เลิกประกาศปิดหลักสูตร ป.ตรีต่อเนื่อง

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร วิทยาเขตเทเวศร์ ยื่นหนังสือจี้ เสมา 1 ยกเลิกประกาศ ศธ.ว่าด้วยการปิดหลักสูตรปริญญาตรี ต่อเนื่อง และร้องเรียนปัญหาการเทียบโอนหน่วยกิต......

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 ส.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีอาจารย์และนักศึกษาหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่อง และหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่อง (เทียบโอน) คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหการคอมพิวเตอร์และเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) พระนคร วิทยาเขตเทเวศร์ ประมาณ 150 คน มายื่นหนังสือถึง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อขอให้ ยกเลิกประกาศ ศธ.ว่าด้วยการปิดหลักสูตรปริญญาตรี ต่อเนื่อง และร้องเรียนปัญหาการเทียบโอนหน่วยกิต โดยนายวีระชัย ถาวรทนต์ เลขานุการ รมว.ศธ. ได้รับหนังสือร้องเรียนแทน พร้อมทั้งให้ตัวแทนนักศึกษาเข้าไปหารือที่ห้องประชุม ศธ. โดยนายตฤณ ดิษฐลำภู อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม

มทร.พระนคร วิทยาเขตเทเวศร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรปริญญาตรีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2518 เพื่อเปิดโอกาสให้ ผู้ที่จบ ปวส.ได้เรียนต่อถึงระดับปริญญาตรี แต่ล่าสุดนายชินวรณ์ได้ออกประกาศ ศธ. เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2553 สั่งปิดปริญญาตรีต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการปิดกั้นสิทธิทางการศึกษาตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ทำให้ผู้ที่เรียนจบ ปวส. และแรงงานในภาคอุตสาหกรรมประมาณ 200,000 คน หมดโอกาสเรียนต่อระดับปริญญาตรี ซึ่งหากนายชินวรณ์ยังไม่ พิจารณายกเลิกประกาศดังกล่าว หรือไม่ดำเนินการใดๆใน 15 วัน จะยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองต่อไป

นายตฤณกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าที่นักศึกษาจะมาร้องเรียนที่ ศธ. อธิการบดี คณบดี และอาจารย์ ได้ขู่นักศึกษาว่าจะให้ติด F ตนและนักศึกษาต่างกังวลในเรื่องนี้ จึงอยากให้ ศธ.ช่วยดูแลด้วย อย่าให้ เกิดปัญหากับนักศึกษา.

จี้'ไพบูลย์'ขอขมา มส.-ขู่ไม่มาแจ้งความแน่

องค์กรพุทธขู่ “ไพบูลย์” เบี้ยวขอขมา มส.หลังกล่าวยกย่องนายกฯอภิสิทธิ์ เปรียบเป็น “อภิสิทธัตถะ”เล็งแจ้งความหากเดินทางไปแล้วแต่ไม่ได้เป็นการขอขมา แต่เป็นการไปชี้แจงเพื่อให้พ้นผิด......

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.นายเสถียร วิพรมหา เลขาธิการองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กล่าวว่า ในวันที่ 20 ส.ค. ตนทราบมาว่า นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม คณะกรรมการปฏิรูป จะเดินทางขอขมาต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม หลังจากที่นายไพบูลย์ ได้กล่าวยกย่องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า เปรียบเป็น “อภิสิทธัตถะ” ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน เนื่องจากคำว่า “สิทธัตถะ” เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า ดังนั้นทางเครือข่ายภาคประชาชนฯ พร้อมด้วยศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จะเดินทางไปสังเกตการณ์ที่พุทธมณฑลด้วย เพื่อจะดูว่านายไพบูลย์ ได้เดินทางไปขอขมา หรือไปกล่าวชี้แจงเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด

นายเสถียร กล่าวว่า หากนายไพบูลย์ ไม่ได้เดินทางไปตามที่พูด หรือหากเดินทางไปแล้วแต่ไม่ได้เป็นการขอขมา แต่เป็นการไปชี้แจงเพื่อให้พ้นผิด ทางเครือข่ายภาคประชาชนฯเตรียมที่จะแจ้งความต่อนายไพบูลย์ เพราะคำกล่าวของนายไพบูลย์ กรณี “อภิสิทธัตถะ” ถือว่าดูหมิ่นพระพุทธศาสนา มีความผิดเข้าข่ายมาตรา44 ทวิ ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และมาตรา 206 ของประมวลกฎหมายอาญา.

คนไทยนิยมเครื่องราง เช่า'เขี้ยวเสือ-เบี้ยแก้'ราคาหลักล้าน

รองประธานพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยฯเผย เครื่องรางของขลังยังได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะ "เขี้ยวเสือ-ปลัดขิก-เบี้ยแก้" รับเป็นเครื่องรางยอดฮิต มีการเช่าบูชาถึงหลักล้านบาท...

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียม สยาม) มีการสัมมนาวิชาการ เรื่อง "เครื่องรางของขลัง วัฒนธรรมชาวพุทธในสุวรรณภูมิ" จัดโดยศูนย์คติชนวิทยา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนายภุชงค์ จันทวิช รองประธานพิพิธภัณฑ์เครื่องถ้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า เครื่องรางของขลังยังคงได้รับความนิยม นำมาบูชาจากประชาชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเครื่องรางที่ยังคงได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ อยู่ในขณะนี้ ได้แก่ เขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส หรือวัดคลองด่าน หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันว่า วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีการเช่าบูชากันถึงหลักล้านบาท เชื่อกันว่าจะช่วยในเรื่องมหาอำนาจ คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม ค้าขายได้ผล, เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง, เบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว, ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก อ.บางคล้าจ.ฉะเชิงเทรา และ ปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี

ขณะเดียวกันการสร้างเครื่องรางของขลังในปัจจุบันยังมีการพยายามนำการตลาด เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่เห็นได้ชัดก็คือการสร้างขุนแผนโคโยตี้ ซึ่งถือว่าเป็นวิวัฒนาการในการสร้างเครื่องรางของขลังในสังคมไทย

นายจุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ราชบัณฑิต กล่าวว่า สาเหตุที่คนไทยต้องการเครื่องรางของขลังตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีเหตุผลหลักคือ 1. เพื่อลาภ 2. เพื่อความเมตตา ความรักใคร่ ความต้องการเป็นที่ยอมรับ 3. เพื่อความสำเร็จ ความก้าวหน้า 4. เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน และ 5. เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย

ด้าน ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ สพร. กล่าวว่า เครื่องรางของขลัง เป็นความเชื่อที่เกี่ยวพันกับศาสนา แต่ในยุคปัจจุบันสังคมไทยกลับมองเรื่องเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ เพราะมีการนำไปเกี่ยวกับไสยศาสตร์มากกว่าความเชื่อดั้งเดิม ที่มีการฝึกจิตตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ดังนั้น สพร. จึงต้องมีการรวบรวมความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในแง่มุมทางวิชาการ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น.

ไฟเขียวยุทธศาสตร์ผลิต-พัฒนาคน

รมว.ศึกษาธิการ เผย ที่ประชุมสภาการศึกษาเห็นชอบยุทธศาสตร์และมาตรการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคน ที่สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 พ.ศ.2552-61 ตามที่สกศ.เสนอ...


นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมสภาการศึกษาที่ผ่านมา ที่ประชุมเห็นชอบยุทธศาสตร์และมาตรการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคน ที่สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 พ.ศ.2552-2561 ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เสนอ ซึ่งเป้าหมายในปี 2561 มีดังนี้ ควรมีกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) มีการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ มีการพัฒนาระบบการจ้างงานและพัฒนาเงินเดือน/ค่าตอบแทนตามสมรรถนะ ขยายการศึกษาที่บูรณาการกับการทำงานให้มากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนทวิภาคี/สหกิจศึกษา เป็นร้อยละ 30 และเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา : สามัญจากในปัจจุบัน 30:70 เป็น 60:40 เพื่อสนองตอบต่อการแข่งขันของประเทศ

รมว.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์และมาตรการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนที่สอดคล้องกับข้อเสนอของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 จำนวน 9 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. ปฏิรูประบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและเอื้อการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2. พัฒนากำลังคนทุกระดับ 3. เร่งผลิตและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้มีปริมาณและคุณภาพเหมาะกับความต้องการ 4. ผลิตและพัฒนาคนโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 5. ฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อยกระดับความสามารถด้านแรงงาน 6. เสริมสร้างความยั่งยืนให้กับภาคการผลิต 7. สร้างเสริมความเข้มแข็งให้ครู คณาจารย์ และผู้บริหารสถาบันการศึกษา 8. พัฒนาระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ และ 9. สร้างระบบความร่วมมือและเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคน อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์และมาตรการดังกล่าวจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป

สช.ถกร่างพ.ร.บ.อนามัยฯ แก้ปัญหาแม่วัยใส

เพื่อที่คณะทำงานฯ จะนำข้อเสนอ 4 ประเด็นหลัก สรุปเป็นเนื้อหาในร่างกฎหมายนี้เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯ ในเดือน ก.ย.นี้...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กลายเป็นประเด็นสำคัญในการหาข้อสรุปเกี่ยวกับ การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษา ที่เป็นปัญหาสังคมและอนาคตของพวกเขา ล่าสุดกับยุทธศาสตร์เพื่อการคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนของชาติให้มากยิ่งขึ้น จึงได้มีร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ...เนื้อหาในร่างกฎหมายนี้จะนำไปสู่ประเด็น “การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม” โดยเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการประชุมสมัชชาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง จัดประชุมสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ....เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาชน ภาควิชาการ และวิชาชีพต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาในพ.ร.บ.ดังกล่าวทั้ง 29 มาตรา

นางกรรณิการ์ บันเทิงจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการประชุมสมัชชาฯ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ฯ และข้อสรุปของการประชุมเครือข่ายว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวหากสามารถผลักดันให้เป็นกฎหมายได้ จะทำให้เด็กและเยาวชนได้รับความคุ้มครองมากยิ่งขึ้น ในการประชุมครั้งนี้มีสิ่งน่าสนใจคือการที่ได้มาซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้โดยใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพ ที่มีการแสดงความคิดเห็นหลากหลายกว้างขวางเป็นอย่างมาก ทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วยรวมถึงการเสนอเนื้อหาใหม่ มีการถกเถียงกันจนเป็นที่สรุปในแต่ละมาตรา โดยคณะทำงานฯ จะนำข้อเสนอดังกล่าวเผยแพร่และดำเนินการต่อไป จากนั้นนำไปสรุปเป็นเนื้อหาในร่างกฎหมายนี้เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯ ภายในเดือนกันยายนนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า สาระสำคัญในการหารือได้ข้อสรุปเบื้องต้นมี 4 ประเด็นคือ 1) สถานบริการสาธารณสุขจัดให้มีการปรึกษา หรือบริการอนามัยการเจริญพันธุ์อย่างเหมาะสม ตามเพศภาวะ วิถีชีวิตทางเพศ และความเป็นส่วนตัวอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน ผู้ให้การปรึกษา และบริการต้องให้ข้อมูลข่าวสารด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ อย่างถูกต้องครบถ้วนและเพียงพอไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือประวัติผู้รับบริการ 2 ) สถานศึกษาพัฒนาศักยภาพบุคลากร และจัดการสอนเพศศึกษาอย่างถูกต้อง เหมาะสมกับวุฒิภาวะและวัยของผู้เรียน ถ้ามีหญิงมีครรภ์ระหว่างศึกษา ให้ศึกษาต่อ และกลับไปศึกษาต่อภายหลังคลอดบุตร 3 ) หน่วยงานรัฐและเอกชน ต้องไม่ขัดขวางการลาคลอดตามกฎหมายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง และป้องกันการล่วงเกิน คุกคามหรือความเดือดร้อนทางเพศ และ 4 ) หน่วยงานรัฐหรือสถานประกอบการมีหญิงมีครรภ์ที่อยู่ในภาวะไม่พร้อมมีบุตรฯ ให้หน่วยงานรัฐหรือสถานประกอบการดังกล่าวให้การสังเคราะห์ช่วยเหลือ และดูแลสุขภาพของมารดาและบุตรอย่างเหมาะสม

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือกันในรายละเอียดเนื้อหา ร่างกฎหมายฉบับนี้ในอีกหลายประเด็น โดยเฉพาะมาตราที่กำหนดบทลงโทษไว้เพียงโทษปรับเท่านั้น บางคนได้เสนอให้มีการเพิ่มบทลงโทษจำคุกด้วย บางคนต้องการให้ตัดออก อนึ่งการประชุมเพื่อยกร่างเนื้อหากฎหมายดังกล่าว ทาง สช.จะได้นำไปใช้เป็นแนวทางเพื่อผลักดันประเด็น “การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม” ที่เป็นหนึ่งใน 10 ประเด็นของสช. เตรียมนำเข้าสู่การประชุมสมัชชาแห่งชาติ ครั้งที่ 3 กลางเดือนธันวาคมปีนี้