Friday, March 27, 2009

โรงเรียนมึนเงินค่าหนังสือเรียนไม่พอ

ซื้อได้แค่บางส่วนไม่ครบกลุ่มสาระ เผยเด็กอาจต้องถ่ายเอกสารเอง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมซักซ้อมแนวปฏิบัติการดำเนินโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพให้แก่หน่วยงานทุกสังกัดที่มีสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติ มอบให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นผู้ประสานงาน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่า ศธ.ได้ชี้แจงแนวปฏิบัติตามที่ศธ.ดำเนินการต่อที่ประชุม โดยเฉพาะในกรณีการสละสิทธิ์ของผู้ปกครองในส่วนของค่าเครื่องแบบนักเรียน และอุปกรณ์การเรียนนั้น หน่วยงานสามารถนำเงินจากการสละสิทธิ์ไปจัดให้แก่สถานศึกษาที่ด้อยโอกาสใน สังกัดตนเองได้ตามความเหมาะสม และความเห็นชอบของหน่วยงาน ซึ่งในส่วนของ ศธ.จะจัดสรรให้แก่สถานศึกษาที่ขาดแคลนประมาณ 600 แห่งทั่วประเทศ

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีที่มีข่าวว่าหลายโรงเรียนไม่กล้ารับนักเรียนเพิ่ม เพราะเกรงว่างบประมาณเรียนฟรีฯ จะมีไม่เพียงพอ นั้น ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเงินจะเพียงพอหรือไม่ เพราะรัฐบาลจะจัดสรรเงินให้ตามความเป็นจริงเท่ากับจำนวนนักเรียน โดยรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณเพื่อจัดสรรสำหรับโครงการนี้ประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมเด็กได้ถึง 12 ล้านคน

ด้าน นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีประมาณ 541,000 คน ซึ่งขณะนี้ สอศ.ได้โอนเงินเรียนฟรี 15 ปีฯ ที่จะจ่ายให้แก่ผู้ปกครองไปยังวิทยาลัยต่าง ๆ ทุกแห่งแล้ว และบางวิทยาลัยก็ได้จ่ายเงินให้ผู้ปกครองแล้ว เช่นกัน ส่วนหนังสือเรียนของ สอศ.นั้น ขณะนี้ได้ทำการตรวจรายชื่อหนังสือไปแล้วกว่า 1,000 เล่ม และได้นำรายชื่อหนังสือขึ้นเว็บไซต์ของ สอศ. www.vec.go.th แล้ว ซึ่งสถานศึกษาสามารถเข้าไปตรวจสอบได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่รัฐจัดสรรเงินสำหรับการจัดซื้อหนังสือเรียนเป็นรายหัวนักเรียน โดยให้โรงเรียนเป็นผู้จัดซื้อนั้น ในทางปฏิบัติราคาหนังสือเรียนแต่ละชั้นปีจะสูงกว่าที่รัฐจัดสรรให้ บางระดับสูงถึงเกือบเท่าตัว ทำให้โรงเรียนสามารถซื้อหนังสือได้เพียงบางส่วนไม่ครบทุกกลุ่มสาระการเรียน ขณะเดียวกันโรงเรียนก็ไม่กล้าเก็บเงินจากผู้ปกครองเพื่อซื้อหนังสือเพิ่ม เติม เพราะเกรงว่าจะถูกร้องเรียน อย่างไรก็ตามขณะนี้หลายโรงเรียนได้เตรียมหาทางออกไว้แล้ว เช่น กรณีที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ก็จะนำเงินรายได้ของโรงเรียนมาจัดพิมพ์เนื้อหา เป็นเอกสารเพิ่มเติมแจกให้นักเรียน ขณะที่บางโรงเรียนอาจให้นักเรียนซื้อหนังสือเองหรือนำเอกสารไปถ่ายเอกสาร เพิ่มเติมตามความสมัครใจ เป็นต้น.

No comments: