Monday, December 1, 2008

ก.ค.ศ.ช่วยครูไม่ผ่านประเมินชำนาญการพิเศษ

นายประเสริฐ งามพันธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดอบรมและพัฒนาครูที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะ ชำนาญการพิเศษ ว่า ในวันที่ 8 ธ.ค.นี้สำนักงาน ก.ค.ศ.จะเสนอแนวทางการอบรมและพัฒนาผู้ไม่ผ่านการประเมินต่อที่ประชุม ก.ค.ศ. ซึ่งขณะนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้จัดทำแนวทางดังกล่าวเสร็จแล้ว รอเพียงให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษามีและเลื่อนวิทยฐานะให้ความเห็นชอบก่อน โดยแนวทางหลักของการอบรมและพัฒนานี้ ได้แก่ 1.กลุ่มครูที่ไม่ผ่านการประเมินแต่คณะกรรมการอ่านผลงาน 2 ใน 3 คน มีความเห็นว่าให้ผ่านการประเมิน ซึ่งมีจำนวน 2,418 รายนั้น จะได้เข้ารับการอบรมเป็นเวลา 3 วัน โดยการอบรมจะเน้นการวิจัยในชั้นเรียน เทคนิควิธีการสอนเนื้อหาสาระแต่ละกลุ่มสาระวิชา จากนั้นจะให้กลับไปพัฒนาการเรียนการสอน และปรับปรุงผลงานวิชาการเพื่อนำกลับมาเสนอต่อคณะกรรมการอ่านอีกครั้งผลงาน ภายในเวลา 6 เดือน และ 2.กลุ่มครูที่มีคณะกรรมการอ่านผลงาน 1 คน หรือ ไม่มีกรรมการอ่านผลงานให้ผ่านการประเมิน ซึ่งมีจำนวน 19,932 คน จะให้เข้ารับการอบรมพัฒนาประมาณ 5 วัน จากนั้นให้กลับไปพัฒนาการเรียนการสอนในชั้นเรียนและเสนอผลงานวิชาการภายใน 1 ปี

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อไปว่า การอบรมจะแบ่งเป็นภาคซึ่งอาจต้องใช้สถาบันอุดมศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้าน การฝึกอบรมและพัฒนาเข้ามาช่วยดำเนินการในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุด เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเรียนการสอนโดยผู้เข้าอบรมจะต้องออกค่าใช้จ่ายบาง ส่วนเอง เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้ขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ไปตรวจสอบจำนวนผู้ที่ไม่ผ่านการประเมินวิทยฐานะชำนาญการพิเศษอีกครั้งเพื่อ ความชัดเจนจากนั้นจึงจะเปิดให้ผู้ไม่ผ่านประเมินยื่นสมัครเข้ารับการอบรม แต่หากใครไม่ต้องการเข้ารับการอบรมก็สามารถยื่นขอประเมินเลื่อนวิทยฐานะใหม่ ทั้งหมดได้ ทั้งนี้คาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการอบรมทั้งสองกลุ่มได้พร้อมกันภายในเดือน ธันวาคมนี้ นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า สำหรับการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์ใหม่ หรือ ว.2 ซึ่งได้ชะลอการใช้ออกไปนั้น ก็คงต้องรอให้การประเมินวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ที่คาดว่าจะมีผู้ยื่นขอรับการประเมินประมาณ 100,000 รายแล้วเสร็จก่อน.

ข้อมูลจาก www.dailynews.co.th

No comments: