Thursday, July 1, 2010

อาเซียนชูไทยต้นแบบดูแลผู้ติดเชื้อเอดส์

เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสแบบ 3 ชนิดภายใต้งบประมาณจากภาครัฐ ตั้งแต่ปี 2545 ภายใต้นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า...

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ASEAN Consultation on Regional Framework on Greater Involvement and Empowerment of People Living with HIV ว่า กระทรวงสาธารณสุข ของประเทศไทย และสำนักงานเลขาธิการอาเซียนร่วมกันเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อนำผลที่ได้จากการประชุมไปพัฒนาการจัดทำแผนงานด้านการ มีส่วนร่วม และเพิ่มศักยภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ระดับภูมิภาค ฉบับที่ 4 (ค.ศ.2011-2015)

การประชุมดังกล่าวมีผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย รวมถึงผู้แทนจากผู้ติดเชื้อ HIV องค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNDP UNAIDS องค์การอนามัยโลก และองค์กรเอกชนระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและ เครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV นำเสนอแผนการเพิ่มศักยภาพและการมีส่วนร่วมของผู้ติดเชื้อ HIV ระดับภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งกำหนดกิจกรรมและขอบเขตของแผนงานระดับชาติ และนำไปเป็นกรอบการทำงานเพื่อเพิ่มศักยภาพและการมีส่วนร่วมของผู้ติดเชื้อ HIV ระดับภูมิภาคอาเซียน ต่อไป

ด้าน นางจินตนา ศรีวงษา กล่าวว่า ผู้แทนสำนักงานเลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ในภูมิภาคอาเซียน คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี มากกว่า 1.6 ล้านคน สำหรับ ประเทศไทย นั้น คาดว่าในปี พ.ศ. 2553 จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อฯ และผู้ป่วยเอดส์ที่ยังมีชีวิต ประมาณ 500,000 ราย อีกทั้งทางกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย เป็นต้นแบบของประเทศที่มีนโยบายให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์สามารถ เข้าถึงบริการดูแลรักษา ด้วยยาต้านไวรัสแบบสามชนิด ภายใต้งบประมาณจากภาครัฐ โดยเริ่มนโยบายนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 มีแนวทางมุ่งเน้นการส่งเสริมการรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์อย่างครบถ้วนและ ต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและลดปัญหาเชื้อดื้อยาในอนาคต รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างและรากฐานของการบริการทางการแพทย์และสังคม เพื่อนำเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.

No comments: