Tuesday, June 2, 2009

อดีตรมช.ศธ.จวกเพิ่มเขตพื้นที่ชายแดนใต้เหลว

ขอให้มีการเกลี่ยอัตรากำลังไปยังเขตพื้นที่ฯห่างไกลให้เหมาะสมและติดตามให้ความช่วยเหลือ สพท.ในการทำงานอย่างใกล้ชิด เชื่อจะช่วยแก้ปัญหาได้

ดร. รุ่ง แก้วแดง อดีตรมช. ศึกษาธิการ กล่าววันนี้ (1 มิ.ย.) ว่า ขณะนี้พื้นที่ใน 3จังหวัดชายแดนใต้ค่อนข้างประสบปัญหาด้านการบริหารงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) สมัยที่มี ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ได้มีมติเพิ่มเขตพื้นที่การศึกษาใน 3จังหวัดชายแดนใต้อีกจังหวัดละ 1 เขต ทำให้ จ.ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส มีสพท.จังหวัดละ 3 เขต ซึ่งการเพิ่มเขตพื้นที่ฯ ดังกล่าว ถือเป็นความผิดพลาดอย่างมากเพราะการแบ่งเขตพื้นที่ใหม่นั้น แบ่งตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ทำให้พื้นที่ห่างไกลทุรกันดารและเป็นพื้นที่สีแดงที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบถูกจับไปรวมกันอยู่ในเขต 3ของแต่ละจังหวัด

อดีตรมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะเดียวกันกรอบอัตรากำลังใน สพท.ที่เพิ่มขึ้นใหม่ก็มีไม่เพียงพอทำให้การทำงาน และการนิเทศก์ติดตามผลการจัดการศึกษาของ สพท.ไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเมื่อพื้นที่ดังกล่าวมีสพท.ไปตั้งอยู่ ก็ทำให้ข้าราชการที่จะไปช่วยพัฒนาการศึกษา จากส่วนกลางไม่ค่อยได้ลงไปดูแลในพื้นที่ เนื่องจากเห็นว่ามีผู้อำนวยการ สพท.ดูแลอยู่แล้ว

“เมื่อแบ่งเขตพื้นที่ฯเพิ่มขึ้นมาแล้ว แทนที่การบริหารงานจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครเข้าไปเหลียวแลเพราะเข้าใจว่ามี สพท.ไปตั้งอยู่แล้ว ขณะที่ข้าราชการในสพท.ก็ทำงานกันอย่างยากลำบากเพราะอัตรากำลังไม่เพียงพอ อีกทั้งส่วนใหญ่ไปกระจุกตัวกันอยู่ในเขตพื้นที่ฯในเมือง ทั้งที่งานของ สพท.ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ลดน้อยลงไปกว่า 80% เพราะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามซึ่งเป็นสถานศึกษาส่วนใหญ่ในพื้นที่ไปขึ้นอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ สช. ดังนั้นจึงควรเกลี่ยอัตรากำลังจาก สพท.ในเมืองมายัง สพท.ที่อยู่ห่างไกล และศธ.ยังคงต้องเอาใจใส่ดูแล สพท.ที่อยู่ห่างไกลเป็นพิเศษเหมือนที่ผ่านมา” ดร. รุ่ง กล่าว

ดร.รุ่ง กล่าวด้วยว่า แม้การเพิ่ม สพท.ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่การจะกลับไปใช้ สพท.เท่าเดิม หรือแบ่งเขตใหม่นั้น ก็เหมือนการปรับโครงสร้างที่ไม่สิ้นสุด จึงขอให้มีการเกลี่ยอัตรากำลังไปยังเขตพื้นที่ฯห่างไกลให้เหมาะสมและติดตามให้ความช่วยเหลือ สพท.ในการทำงานอย่างใกล้ชิด ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้

No comments: